ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เสื่อมโทรมตรงไหน!! แฉ“ทัพภาค 3”ชงขอพื้นที่ฝึกกำลังพล แทง“ป่าเต็งรังเดิม”สภาพสมบูรณ์เป็น“ป่าเสื่อมโทรม”แต่กลับไม่ใช้ประโยชน์ เปิดช่องศาลขอเซ้งสร้าง“หมู่บ้านป่าแหว่ง”ที่ยังหาทางจบไม่ลง หลัง“ตัวแทนศาล”เบี้ยวนัดคุยภาค ปชช. ที่ยื่นคำขาด“รื้อเท่านั้น”ส่วน“บอร์ดศาล”โยนเผือกร้อนให้“นายกฯตู่”ตัดสินใจ
สุดท้ายไม่ได้อะไร .. เวทีพูดคุยที่ “ค่ายกาวิละ”จ.เชียงใหม่ ซึ่ง พล.ท.วิจักข์ฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นคนกลางในการระดมความเห็นในเวทีสาธารณะ กรณีการก่อสร้างบ้านพักศาลอุทธรณ์ภาค 5 ถนนเลียบคันคลองชลประทาน ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ บริเวณเชิงดอยสุเทพ-ปุย หรือที่เรียกขานกันว่า “หมู่บ้านป่าแหว่ง”..ตัวแทนทุกฝ่ายมากันครบ ผู้ว่าฯเชียงใหม่ ป่าไม้ ธนารักษ์ ราชพัสดุ ทหาร ตำรวจ ขาดไม่ได้ คือตัวแทนเครือข่ายทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ ที่ไปย้ำจุดยืน “รื้อเท่านั้น”โดยโฟกัสไปที่บ้านพัก 47 หลัง และอาคารชุดทั้ง 9 อาคาร หรือ“ส่วนที่ยื่นเข้าไปจนป่าแหว่ง” นั่นเอง .. เว้นก็แต่“ผู้แทนศาลอุทธรณ์ภาค 5”ที่แจ้งแคนเซิลกระทันหันซ้ำสอง หลังเคยชิ่งไม่ร่วมเจรจากันทางภาคประชาชนมาหนแล้ว .. เป็นไปตามที่คาดเมื่อ “ฝ่ายศาล”ให้ความสำคัญกับ“ส่วนกลาง”ที่มีการประชุมของ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ที่มี "ชีพ จุลมนต์" ประธานศาลฎีกา นั่งหัวโต๊ะ นัดประชุมในช่วงเวลาเดียวกันพอดี .. ก่อนที่ “บอร์ดศาล”จะโยนความเห็นออกมาประมาณว่า ไม่สามารถยุติรื้อถอนโครงการได้ ด้วยจะตกเป็น “ฝ่ายผิดสัญญา”และถูก“เอกชนคู่สัญญา”ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งจะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการชดใช้ค่าเสียหาย .. พร้อมพรรณาความ ตั้งแต่ริเริ่มโครงการ ไม่ลืมเน้นย้ำว่า ศาลตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ-รักษาสิ่งแวดล้อม .. โดย ก.บ.ศ. จะมีหนังสือไปถึง“นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้พิจารณา หาทางออก .. แต่ทาง“ศาล”เองก็ได้ “ไกด์ไลน์”แนวทางชะลอการใช้บ้านพัก เฉพาะส่วนที่มีการคัดค้านไว้ชั่วคราว หรือดำเนินการอื่นในระหว่างฟื้นฟูสภาพแวดล้อม แนบไปด้วย .. เท่ากับโยน“เผือกร้อน”มาวางไว้บนตัก “ท่านผู้นำ”โดยที่ข้อเสนอของ“ก.บ.ศ.”นั้นก็ไม่ตรงกับจุดยืน“รื้อเท่านั้น”ของภาคประชาชน ทีนี้ก็ยุ่งกันไปใหญ่ ..
อย่างที่บอก ยิ่งปล่อยข้อพิพาทไว้เช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องในหลายยุคก็จะหนีไม่พ้นถูกดึงมาร่วมเป็น“จำเลยสังคม”..นอกจากศาลแล้ว กองทัพบก (ทบ.) เอง ในฐานะผู้ดูแลพื้นที่ ก็ยังตกเป็นเป้าด้วยเช่นกัน ด้วยเริ่มมีกระแสวิพากษ์แล้วว่า“ฝ่ายทหาร”โดย“กองทัพภาคที่ 3”เป็นผู้เปิดช่องโหว่ในการบุกรุกฝืนป่าไว้เอง .. โดย “บิ๊กไก่อู”พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล แจกแจงว่า เดิมที ที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ "ที่ราชพัสดุ" แต่เป็นที่ดินในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ก่อนที่ “ทัพภาค 3”ขอขึ้นทะเบียนเป็น“ที่ราชพัสดุ”กับกรมธนารักษ์ เพื่อใช้ฝึกกำลังพล เนื่องจากเห็นว่าเป็น"ป่าเสื่อมโทรม" ..
ซึ่งเมื่อดูนิยามของคำว่า "ป่าเสื่อมโทรม" ตามมติ ครม. ตั้งแต่ปี 2530 ระบุว่า “ป่าที่มีสภาพเป็นป่าไม้ร้าง หรือทุ่งหญ้า หรือเป็นป่าที่ไม่มีไม้มีค่าขึ้นอยู่เลย หรือมีไม้มีค่าลักษณะสมบูรณ์เหลืออยู่เป็นส่วนน้อย และป่านั้นยากที่จะฟื้นคืนดีตามธรรมชาติได้” ..ขัดกับทั้งภาพถ่ายทางอากาศของ "เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ" ที่พบว่า เมื่อปี 2557 พื้นที่บริเวณนั้นยังคงมีสภาพเขียวขจี สมบูรณ์ .. สำทับกับความจริงที่ว่า "ป่าเสื่อมโทรม" ในสายตาของทหารนั้น แท้จริงแล้ว มีข้อมูลว่าเป็น“ป่าเต็งรังเดิม”ที่สภาพสมบูรณ์ แต่ถูกแผ้วถางกลายเป็นทัศนียภาพอุจาดตา เป็นที่มาของสมญา "หมู่บ้านป่าแหว่ง" นั่นเอง .. และเมื่อ“กองทัพภาคที่ 3”ที่เป็นผู้แทงเรื่องให้เป็น“ป่าเสื่อมโทรม”ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และปล่อยทิ้งร้างไว้ ก็เป็นช่องที่ทำให้ สำนักงานศาลยุติธรรม มาขอใช้ต่อนั่นเอง .. งานนี้ “รัฐบาล คสช.”ไม่รีบหาทางออก มันอาจจะย้อนเข้าตัว ด้วย“อดีตผู้นำกองทัพบก”ในช่วงที่มีการขออนุมัติ ก็ระดับ “คีย์แมน คสช.”ทั้งนั้น .. งานนี้เป็นโจทย์ยาก ทั้งแก้ตราบาปในอดีต แล้วต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่าง“ความถูกต้อง-ความเหมาะสม”ตลอดจนการเสียประโยชน์ของรัฐอีก .. ยากจะชี้ได้ว่า ช่องไหนจะทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ โจทย์หินขนาดนี้ เห็นทีคงได้ควักดาบ“มาตรา 44”ผ่าทางตันกันเป็นแน่
** อย่ามองครึ่งเดียว!! ทีดีอาร์ไอ อย่ามองความจริงแค่ครึ่งเดียว รัฐก็พิลึกอุ้มทีวีดิจิทัลที่เอกชนต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่มีใครบังคับ แต่สัปทานคลื่นมือถือโดนปั่นราคา จนประมูลรอบใหม่จะเจ๊งทั้งระบบ กลับเฉย
เสียงอ่อยทีเดียว .. “เลขาฯน้อย”ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ตั้งโต๊ะแถลงข่าวประเด็น มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรคมนาคม ที่เลื่อนชำระค่าประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ ย่าน 900 MHz..เป็นสุ้มเสียงที่ผิดแผกไปจากเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ยังยืนยันว่า การเสนอให้“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ช่วยเหลือผู้ประกอบการมือถือมีความจำเป็น .. หลักใหญ่ใจความที่ทำให้ “พี่น้อย” ออกอาการเซ็งในอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นคอมเมนต์ของ "สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์" แห่งทีดีอาร์ไอ .. ที่ส่งเสียงค้านหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากที่ค้านทั้งเรื่องช่วย“ทีวีดิจิทัล-ค่ายมือถือ”กลายมาเป็นปล่อยผีฝ่ายแรก แล้วค้านเรื่องของฝ่ายหลังอย่างหัวชนฝา .. โดย “สมเกียรติ”ชี้ว่า “ค่ายมือถือ”ในทีนี้คือ“True - AIS”ต้องรับความเสี่ยงทางธุรกิจตามปกติ ไม่ควรผลักภาระมาให้รัฐ .. แล้วยังไล่ส่งทั้ง 2 ค่าย ที่เสนอขอเสียดอกเบี้ยแลกกับการขยายงวดผ่อนชำระ ให้ไปไปกู้ธนาคารแทนเสียอีก .. ถือเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว ต้องไม่ลืมว่าการประมูล 4G ครั้งนั้น มี “ตัวแปรสำคัญ”อย่าง “JAS”ที่เข้ามา “ป่วนวงการ-ปั่นตัวเอง”ทำให้ทั้ง 2 ราย ต้องเสียค่าใบอนุญาตเกินกว่าความเป็นจริง .. เมื่อ JAS ทิ้งคลื่น พร้อมถูกปรับไม่กี่ร้อยล้านบาท ในทางกลับกัน โอเปอร์เรเตอร์ทั้ง 2 ราย ที่ลงทุนมาก่อนหน้าอย่างมหาศาล ต้องมารับกรรม ในราคาที่ตีโป่งไปมากกว่าครึ่งเท่าตัวไปโดยปริยาย ..
ดังนั้น ตรรกะ “ต้องรับความเสี่ยงทางธุรกิจ”จึงควรใช้กับ “ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล”ที่เป็นธุรกิจนับหนึ่งใหม่ แล้วไปไม่รอดเองมากกว่า .. ถึงนาทีนี้ ยังไม่รู้แน่ว่าจะมีการชงใช้ มาตรา 44 ช่วยเหลือ “ทีวีดิจิทัล-ค่ายมือถือ”เข้าสู่การประชุม ครม.-คสช. ในวันนี้ (10 เม.ย.) หรือไม่ .. ซึ่งหาก “รัฐบาล คสช.”ยึดตามความเห็นของ“ทีดีอาร์ไอ”ในการไม่ช่วยเหลือค่ายมือถือ .. สิ่งที่จะตามมาแน่นอนก็คือ “เดดล็อก”ต่อการเปิดประมูลคลื่น 900 และ 1800 MHz งวดใหม่ .. โดยเฉพาะการประมูลคลื่น 1800 MHz ที่เป็นไฟต์บังคับของ “DTAC”ในการล่าคลื่นความถี่เพื่อให้บริการต่อไป ..
แต่หาก“True-AIS”ที่ทุ่มไปหมดหน้าตัก กับการประมูลรอบก่อนๆ ไม่ยื่นประมูลด้วย ก็คงล่มไม่เป็นท่า ด้วย“DTAC”ไม่สามารถเสนอราคาแต่เพียงผู้เดียวได้ .. เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากไม่มีอภินิหารอันใด DTAC ที่จะหมดสัมปทาน ก็คงจะหมดหนทางในการให้บริการต่อไป แล้วก็ผลักไสให้โอเปอเรเตอร์โทรคมนาคมเหลือแค่ 2 เจ้า ปริ่มๆ จะเข้าเงื่อน “ผูกขาด”เข้าไปทุกขณะ .. จริงอยู่ ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบ“หมูไปไก่มา”อย่างที่ “ดร.สมเกียรติ”ตั้งข้อสังเกตไว้หรอก หากแต่มันมี “เงื่อนตาย”ที่น่ากลัวกว่า รออยู่นี่น่ะสิ
** เป็นกลางกระเท่เร่!! พิรุธ“รมต.ศิริ”แก้ชื่อ คกก.SEA ประเมินผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา ยัดทะนานฝ่ายหนุนถ่านหินมาอีก 5 ราย นำโดย“มนูญ ศิริวรรณ”พร้อมติ่งทักษิณ “โสภณ พรโชคชัย”ดอกเตอร์ในตำนานผู้หน้าแหกได้ทุกเรื่องมีชื่อด้วย แล้วยังตัดชื่อ“สุริชัย-ปริญญา”ที่หนุนพลังงานหมุนเวียน ออกด้วย
ดีแล้ว แต่ยังไม่สุด .. ต้องยอมรับว่า บทบาทของ ศิริ จิระพงศ์พันธ์ นับตั้งแต่เข้ามานั่งเก้าอี้ รมว.พลังงาน ได้รับการกล่าวขานในทางที่ดีพอสมควร .. โดยเฉพาะคิว“หย่าศึก”การชุมนุมเครือข่ายปกป้องสองฝั่งเล กระบี่-เทพา ที่ต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินสองฝั่งทะเล .. ที่เจ้าตัวรุดไปเจรจาพร้อมลงนามในบันทึกข้อตกลง จนเป็นที่พอใจของฝ่ายผู้ชุมนุม แม้จะถูกวิจารณ์จากบางฝ่ายก็ตาม .. สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงที่ริม ถ.ราชดำเนิน เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา .. นอกเหนือจากการถอนรายงาน EHIA ของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ออกจากสำนักงานนโยบายและแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้ว .. ก็ยังกำหนดให้กระทรวงพลังงานจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อศึกษาว่า พื้นที่ จ.กระบี่ และ อ.เทพา จ.สงขลา มีความเหมาะสมในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือไม่ .. โดยกำหนดสเปกว่า คณะกรรมการ SEA ต้องมาจาก“นักวิชาการที่เป็นกลาง-เป็นที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย”..ไม่ถึงสัปดาห์ดี “รมต.ศิริ”ก็เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง“บอร์ด SEA” เมื่อวันที่ 27 ก.พ. โดยกำหนดให้การศึกษาดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 9 เดือน .. ทั้งนี้ ประสิทธิ์ชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน เคยบอกว่ารายชื่อที่ออกมาครั้งนั้น เป็นที่น่าพอใจ ด้วยทั้ง 13 รายในคณะเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ..
หากแต่เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา “รมต.ศิริ”กลับลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ SEAชุดใหม่ ทั้งสิ้น 19 ราย โดยให้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งชุดเดิม .. ทีนี้ก็เป็นเรื่อง เมื่อกรรมการชุดใหม่มีการ“ยัดทะนาน”ฝ่ายสนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างสุดโต่งเข้ามาถึง 5 คน .. นำโดย มนูญ ศิริวรรณ ผู้ตั้งตัวเป็นเต้ย ด้านพลังงาน และสนับสนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างสุดลิ่ม รวมทั้งฝ่ายนักวิชาการได้แก่ “ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ - เพชญ์ เดชรัตน์ - อุริช อัชชโคสิต” ..ที่น่าแปลกใจ ก็ปรากฏชื่อ “ดอกเตอร์ในตำนาน”อย่าง โสภณ พรโชคชัย ที่ตั้งตัวเป็นกูรูอสังหาริมทรัพย์ และหนุนถ่านหินอย่าง
ชัดเจน .. เป็น “ดร.โสภณ”ที่วีรกรรมเป็นที่โจษจาน เกาะกระแสได้ทุกเรื่อง และก็ถูกตอกหน้าหงายในทุกเรื่องเช่นกัน อีกทั้งยังถือหาง“ฝ่ายทักษิณ”อย่างชัดเจนด้วย ไม่น่าเชื่อว่ากลับมีราคาถึงขนาดได้เป็นกรรมการในเรื่องสำคัญเช่นนี้ .. ไม่เพียงแค่ยัดฝ่ายสนับสนุนเข้ามาเพิ่ม แถมยังตัดในส่วนของฝ่ายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ที่มีชื่อชั้นออกไปอีก 2 ราย ทั้ง สุริชัย หวันแก้ว จากจุฬาฯ และ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล จาก ม.ธรรมศาสตร์ ออกไปเสียอีก .. เจอแบบนี้เข้าไป ภาคประชาชนที่เคยชื่นชม รมว.พลังงาน ถึงกับมึนตึ๊บ ประกาศว่า หากยืนกรานรายชื่อกรรมการชุดนี้ ก็เท่ากับทำให้“มิตรภาพที่เหลือเพียงเล็กน้อยนั้นต้องขาดสะบั้นลง” ..เพราะมันฟ้องว่า“รมต.ศิริ”ถูกล้วงลูกชัดเจน แล้วแบบนี้จะไปเอาความเป็นกลางจากคณะกรรมการ SEAได้อย่างไร.
ช.ชฎา