“สมชัย” ย้ำส่งตีความกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว.ทำเลือกตั้งเลื่อน 2-6 เดือน ท้าคนที่ยืนยันไม่เลื่อนให้ประกาศไม่รับเงินเดือนเท่าเวลาที่เคลื่อนไป ชี้ สนช.ส่งตีความ สะท้อนขาดประสิทธิภาพไม่รอบคอบ จี้ทบทวนตัวเอง ระบุระบบเลือกตั้งใหม่ทำแข่งขันสูง เตือนให้รอดูหากหลังเลือกตั้งแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องโทษคนร่างกติกา
วันนี้ (16 มี.ค.)นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บรรยายพิเศษในหัวข้อการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ให้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 9 ตอนหนึ่งว่า ภาพรวมที่จะทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรมต้องดู 3 อย่าง คือ กติกา ผู้เล่น และประชาชน ส่วนของกติกามีกฎหมาย 4 ฉบับ คือ กฎหมาย กกต. พรรคการเมือง เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ซึ่งในส่วนของกฎหมาย กกต.มีการเซตซีโร่ กกต.ชุดปัจจุบัน ต้องสรรหา กกต.ใหม่ ใช้เวลาอีกอย่างน้อย 6 เดือนจึงจะได้ กกต.ชุดใหม่ หรือประมาณเดือนกันยายน แต่ถ้ารวมโปรดเกล้าฯ อาจจะมาเดือนตุลาคม 2561 โดยการเปลี่ยนม้ากลางศึกไม่เป็นผลดีต่อการจัดเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม การที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ สนช.ใช้อำนาจการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งขององค์กรอิสระแต่ละองค์กรแตกต่างกันนั้น หาก สนช.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็อาจมองว่าเป็นธรรมได้ แต่ สนช.มาจากการแต่งตั้งการใช้อำนาจดังกล่าวจึงอาจถูกมองเป็นไปตามความพึงพอใจของ คสช.เท่านั้น เพราะ สนช.มาจากการแต่งตั้งการโหวตย่อมถูกสั่งกดปุ่มได้
นายสมชัยยังเตือนด้วยว่า ใครที่คิดส่งตีความร่างกฎหมาย ส.ส.-ส.ว.ต้องคิดให้ดี เพราะปมขัดแย้งกฎหมาย ส.ส.ทั้งเรื่องการลงคะแนนแทนคนพิการ และการตัดสิทธิการเมืองผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็ก เหมือนเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ถ้ายื่นศาลรัฐธรรมนูญจะทำโรดแมปเลื่อน 2 เดือน ส่วนกฎหมาย ส.ว.จะทำเลือกตั้งเลื่อน 0-6 เดือน เนื่องจากหากเป็นประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าไม่ได้ขัดในสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญก็ตัดเฉพาะส่วนบทเฉพาะกาลออกเลือกตั้งก็ไม่เลื่อน แต่ถ้าขัดกับสาระสำคัญต้องยกร่างใหม่ทั้งฉบับทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนไป 6 เดือน แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่ขัดในสาระสำคัญ อย่างไรก็ตาม ถ้ายื่นทั้งสองฉบับจะทำให้การเลือกตั้งเลื่อน 2-6 เดือน พร้อมกับท้า สนช.ที่ออกมารับประกันว่าการยื่นตีความจะไม่ทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป ออกมาประกาศให้ชัดเจนว่าจะไม่รับเงินเดือนช่วงเวลาที่ทำให้เลือกตั้งเลื่อนออกไป และยังเห็นว่าหากมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแสดงว่า สนช.คิดไม่รอบคอบ สะท้อนว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ถือว่าเปลืองเงินเดือน โหวตกันท่วมท้นได้อย่างไร คิดช้าหรือเปล่า เหมือนกับที่ออกกฎหมายพรรคการเมืองแล้วต้องแก้ไข ควรทบทวนตัวเอง
นอกจากนี้ยังเห็นว่า ระบบเลือกตั้งใหม่ทำให้ทุกพรรคต้องส่งผู้สมัครครบทุกเขต เพื่อให้ได้คะแนนมาคำนวณในระบบสัดส่วน เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ใช้บัตรใบเดียว และการให้ผู้สมัครมีเบอร์แตกต่างกันก็ไม่เอื้อต่อการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม เพราะจะทำให้การแข่งขันรุนแรง ต้องใช้เงินมากขึ้น โดยประเมินพรรคเล็กส่งครบทุกเขตต้องใช้เงินอย่างน้อยเขตละ 1 แสนบาท ทั่วประเทศจะใช้เงินประมาณ 40-50 ล้านบาท พร้อมกับเตือนพรรคขนาดเล็กและพรรคตั้งใหม่ที่มองโลกในแง่ดีว่าส่งผู้สมัครครบทุกเขต แค่ได้คะแนนเสียง 200 เสียงต่อเขต เมื่อรวมทั้งประเทศจะได้ 7 หมื่นเสียง เพียงพอที่จะได้ ส.ส.สัดส่วน 1 คนนั้น ในวันเลือกตั้งจริงอาจจะได้เขตละไม่ถึง 20 เสียงด้วยซ้ำ เพราะขนาดในการเลือกตั้งปี 50 และ 54 ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ พรรคการเมืองขนาดเล็กยังได้คะแนนน้อยที่สุดของทั้งประเทศเพียงหลักร้อยกับหลักพันเท่านั้น
นายสมชัยยังกล่าวด้วยว่า เมื่อนำร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมารวมกันแล้วจะเป็นพิษหรือไม่ ยังไม่มีใครทราบ ต้องรอดูผลหลังการเลือกตั้ง หากปัญหาทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมก็ต้องโทษคนเขียนกติกา เพราะมีเวลาในการร่างกฎหมายถึง 4 ปี และมีขั้นตอนในการทบทวน แต่กลับร่างกฎหมายที่นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้แล้วยังสร้างปัญหาใหม่ด้วย
ส่วนปัจจัยที่ 2 ที่จะทำให้การเลือกตั้งสุจริต เที่ยงธรรมหรือไม่ คือ นักการเมือง พรรคการเมือง หัวคะแนนนั้น ตนเห็นว่าจะหวังให้คนเหล่านี้ทำให้การเลือกตั้งสุจริตคงลำบาก เพราะคนเหล่านี้ต้องหวังที่จะชนะ และตราบใดที่วัฒนธรรมของสังคมไทยยังมีระบบอุปถัมภ์เรื่องเงินก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่จะหล่อเลี้ยงให้ผู้เล่นอยู่ในสายตาประชาชน ขณะที่ส่วนสุดท้าย คือ ประชาชน และสื่อมวลชน เห็นว่าจะต้องมีการส่งเสริมให้รู้ในเรื่องกฎกติกาและมีส่วนร่วมในการวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยความถูกต้อง รวมถึงส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้งด้วย