xs
xsm
sm
md
lg

“บุญส่ง” หวั่นเลือกตั้งร้องเรียนอื้อ ตั้งคดีละล้านปราบโกง เชื่อถึงเวลาเหลือไม่กี่พรรค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“กกต.บุญส่ง” นำพนักงานสอบสวน กกต.ดูงานศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พัฒนางานสืบสวนฯ รับเลือกตั้งหวั่นคดีร้องเรียนสูง เหตุระบบเลือกตั้งใหม่คะแนนสัดส่วนผูกคะแนนเขต เตรียมงบฯ ลุยปราบทุจริตรับเลือกตั้งสูงคดีละ 1 ล้าน เชื่อเลือกตั้งจริงเหลือไม่กี่พรรคที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้ เพราะตั้งพรรคทุนสูง-ระเบียบเข้ม

วันนี้ (15 มี.ค.) นายบุญส่ง น้อยโสภณ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้นำคณะผู้เข้าอบรมหลักสูตรสืบสวนและไต่สวนระดับกลาง รุ่นที่ 4 ซึ่งเป็นบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีหน้าที่สืบสวนไต่สวนคดีเลือกตั้ง เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2560 ทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้นำคณะผู้เข้าอบรมสูตรศึกษาดูงานเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการดำเนินคดีในศาล ณ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 จังหวัดนครราชสีมา โดยมีนายพิศิฎฐ์ สุดลาภา ประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ให้การต้อนรับคณะฯ

นายบุญส่งกล่าวว่า การอบรมครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพพนักงานสืบสวนสอบสวน และนิติกรของ กกต.ให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากศาลฎีกา, ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลยุติธรรม, กรธ., ป.ป.ช. มาให้ความรู้ คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำสำนวนในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของด้านสืบสวนฯ ก็ได้มีการเตรียมในเรื่องของอุปกรณ์ และระเบียบกฎหมายต่างๆ ที่จะมาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการทุจริต เช่น เรื่องการสืบสวนหาข่าว ก็มีการเตรียมกล้องส่งทางไกล กล้องกระดุม เครื่องบันทึกเสียง และพนักงานก็จะมีเครื่องแบบสำหรับใช้ในการตรวจการ

ส่วนระเบียบกฎหมายก็มีการปรับแก้ให้สอดคร้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ที่เพิ่มอำนาจให้กับพนักงานสอบสวนฯ สามารถตรวจค้นได้ เหมือนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อีกทั้งสำนวนเมื่อส่งไปยังศาล ศาลก็ต้องใช้สำนวนของ กกต.เป็นหลัก และใช้ระบบการไต่สวนพิจารณาแทนการใช้ประมวล วิ.อาญา เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้คาดจะมีพรรคการเมืองเพิ่มมากขึ้น แต่ก็คิดว่าพนักงานสอบสวนของ กกต.ทำได้อยู่แล้ว เพราะในอดีตเคยจัดเลือกตั้งท้องถิ่น มีคดีเกิดขึ้นเป็นพันคดี แต่ตนยังห่วงว่าระบบเลือกตั้งใหม่ที่คะแนนสัดส่วนไปผูกกับคะแนน ส.ส.เขต จะทำให้มีปัญหามีคดีเข้ามาค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของการคัดกรองคนสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง เพราะคนที่หวังจะได้คะแนนสัดส่วน ต้องมีคะแนนจากเขตเป็นฐาน ซึ่งเราได้คำนวนเบื้องต้น ว่าหากมีผู้มาใช้สิทธิร้อยละ 70 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ส.ส.สัดส่วนหนึ่งคนจะต้องได้จากเขต 80,000 คะแนน ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร ก็ขอเอาใจช่วยทั้งพรรคเก่าและพรรคใหม่ที่มีความตั้งใจจะลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ผ่านไปได้ทุกพรรค เพราะเมื่อพิจารณาถึงข้อกฎหมายที่แต่ละพรรคจะต้องปฏิบัติมีมาก และค่อนข้างลำบาก เช่น การหาทุนประเดิม การตั้งสาขาพรรค การหาสมาชิกพรรค ที่ต้องใช้งบฯ พอสมควร อีกทั้งสมาชิกพรรคจะต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม เหมือนกันคุณสมบัติและสักษณะต้องห้ามของ ส.ส. และกฎหมายยังกำหนดให้ประมวลจริยธรรมว่าด้วยสมาชิกพรรคเข้าไปกำกับเช่นเดียวกับ ส.ส.

“ฉะนั้นการตั้งพรรคที่มีสมาชิกพรรคปริ่มๆ น้ำ อันตรายมาก ต้องตั้งเผื่อไว้เยอะๆ เพราะสมาชิกพรรคอาจจะหลุดด้วยเหตุคุณลักษณะต้องห้ามเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็คาดเดาว่าที่สุดแล้วจะเหลือไม่กี่พรรค ที่จะไปสู่จุดที่จะเป็นพรรค ซึ่งสามารถส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งได้ เพราะการตั้งพรรคมีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร”

นายบุญส่งยังกล่าวอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งมากกว่าในอดีต โดยจะใช้ประมาณ 5,800 ล้านบาท ซึ่งในเรื่องของการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรมก็มีการของบประมาณไว้สำหรับการหาข่าว การคุ้มครองพยาน การจ่ายเงินรางวัลนำจับให้ผู้แจ้งเบาะแสทุจริต ประมาณกว่า 900 ล้านบาท และจะมีเงินของกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองมาเสริมอีกจำนวนหนึ่ง โดยร่างระเบียบสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น ที่ทางสำนักงานเตรียมเสนอให้ กกต.พิจารณาเห็นชอบ ก็วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ในกรณีที่เป็นคดีใหญ่สำคัญๆ ก็จะสามารถใช้งบฯเพื่อการสืบสวนได้สูงถึง 1 ล้านบาท



กำลังโหลดความคิดเห็น