xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” ชี้ บรรษัทรัฐวิสาหกิจ หนักกว่า “แม้ว” แปรรูปต้มยำกุ้ง ฉะวาดภาพสวยให้ ปชช.หลงเชื่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร
อดีต ส.ว. กลุ่ม 40 ชำแหละบรรษัทรัฐวิสาหกิจ ย้อนมโนวาดภาพให้ ปชช. หลงเชื่อ จะทำงานโปร่งใสมีประสิทธิภาพ ฉะคนในบรรษัทฯก็ตั้งจากการนักการเมือง ชี้ ไม่เกี่ยวแปรรูป แต่อยู่ที่การเป็นเจ้าของสามารถปรับกิจการได้ ที่มีแววเอื้อเอกชนต่างชาติ ย้อนจะหนักกว่า “ทักษิณ” ที่ทำช่วงต้มยำกุ้ง เปรียบขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาเป็นบ้องกัญชา

วันนี้ (3 ก.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่อง พ.ร.บ. พัฒนาการกำกับรัฐวิสาหกิจฯ โดยระบุว่า “บรรษัทรัฐวิสาหกิจ : การแปรรูปแบบ ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”!!?? โดยหลังจากตนเองเขียนบทความเรื่อง “คสช. เตรียมออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจอำพรางแบบยกเข่ง โดยผ่านสภาเสียงข้างเดียว กินรวบหนักกว่ายุคทักษิณหรือไม่?” ก็มีคนออกมาโต้ว่ามโนไปเอง ว่า ร่างกฎหมายบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติที่ผ่านสภาไปเมื่อเร็วๆ นี้ คือ การแปรรูปอำพราง โดยให้เหตุผลว่า “กฎหมายนี้ไม่เกี่ยวกับการจะแปรรูปหรือไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงคลังยังจะถือหุ้นในบรรษัทฯทั้ง 100% และบังคับห้ามขายหุ้นออกด้วย”

น.ส.รสนา ยังระบุต่อว่า ข้ออ้างที่ว่า “การตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นความต้องการรวมอำนาจในการบริหารรัฐวิสาหกิจ (รสก.) มาอยู่ที่บรรษัทฯเพื่อความโปร่งใส ภายใต้มาตรฐานเดียวกันจากเดิมซึ่งแต่ละ รสก. จะขึ้นกับแต่ละกระทรวง การบริหารก็จะมีมาตรฐานแตกต่างกัน การแต่งตั้งกรรมการรสก. ก็ถูกแทรกแซงโดยนักการเมือง แต่บรรษัทฯจะบริหารโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นมืออาชีพ การแทรกแซงโดยการเมืองจะทำได้ยาก จะทำให้ รสก. ภายใต้สังกัดบรรษัทฯบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องคอยสนองตอบแต่ความต้องการของฝ่ายการเมือง” ซึ่งนี่แหละที่เป็นข้อมูลที่มีคนมโนขึ้นมาจริงๆ และวาดภาพเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ หลงเข้าใจผิดอย่างแท้จริง

ข้ออ้างที่ว่าจากเดิมซึ่งแต่ละ รสก. จะขึ้นกับแต่ละกระทรวง การบริหารก็จะมีมาตรฐานแตกต่างกันนั้น หากรัฐบาลต้องการจะให้การบริหารเป็นมาตรฐานเดียวกันก็สามารถทำได้โดยการกำหนดของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตั้งบรรษัทฯมาครอบอีกองค์กรหนึ่ง

ข้ออ้างที่ว่าต้องการทำให้การบริหาร รสก. โปร่งใส ถึงแม้เป็นจุดมุ่งหมายที่ดี แต่ก็สามารถทำได้โดยการกำหนดของคนร.อีกเช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องตั้งบรรษัทฯ
ข้ออ้างที่ว่าการแต่งตั้งกรรมการ รสก. นั้น ถูกแทรกแซงโดยนักการเมือง แต่บรรษัทฯจะบริหารโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นมืออาชีพ การแทรกแซงโดยการเมืองจะทำได้ยาก จะทำให้ รสก. ภายใต้สังกัดบรรษัทฯบริหารงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องคอยสนองตอบแต่ความต้องการของฝ่ายการเมือง นั้น ก็เป็นเรื่องที่มโนอีกเช่นกัน

ขอถามว่า ผู้ที่แต่งตั้งผู้บริหารเข้าไปในบรรษัทฯ ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากนักการเมืองหรือ? หรือจะอ้างว่าแต่งตั้งโดยรัฐบาล คสช. เลย ถือว่าไม่ใช่มาจากนักการเมือง?!?
นอกจากนี้ ถ้าบอกว่ารัฐบาลสามารถแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นมืออาชีพ ที่การแทรกแซงโดยการเมืองจะทำได้ยาก เข้าไปเป็นกรรมการในบรรษัทฯ เพื่อบริหาร รสก. อีกทอดหนึ่ง ก็ทำไมไม่แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นมืออาชีพที่การแทรกแซงโดยการเมืองจะทำได้ยาก เข้าเป็นผู้บริหาร รสก. ไปเสียเลย?

การที่มีข้อแก้ตัวว่า “กฎหมายนี้ไม่เกี่ยวกับการจะแปรรูปหรือไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงคลังยังจะถือหุ้นในบรรษัทฯทั้ง 100% และบังคับห้ามขายหุ้นออก” นั้น ก็หมายความเพียงว่ากระทรวงคลังจะไม่ขายหุ้นที่ถือในบรรษัทฯออกไปเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่? อุปมาให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ บรรษัทฯเปรียบเหมือนเป็นคอกม้าที่กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของ และยืนยันจะไม่ขายหุ้นคอกม้าให้ใคร แต่ไม่มีข้อห้ามผู้บริหารคอกม้าซื้อขายแลกเปลี่ยนม้าในคอกให้เป็นลาก็ย่อมทำได้ ใช่หรือไม่ ไม่ต่างจากเวลานี้ที่กระทรวงการคลัง ถือหุ้น 51% ในบริษัทพลังงาน และยืนยันจะไม่มีนโยบายขายหุ้น 51% ในบริษัทนี้ แต่บริษัทนี้ยังสามารถแยกกิจการค้าปลีกและน้ำมันออกไปเป็นกิจการค้ากำไรของเอกชน 100% ได้ ใช่หรือไม่

กรรมการนโยบาย (คนร.) สามารถกำหนดนโยบายว่าจะให้รัฐวิสาหกิจใดพ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเปรียบไปคือการอนุมัติให้ผู้บริหารคอกม้าขายม้าตัวนั้นออกจากคอกไปให้เอกชนนั่นเอง โดยกระทรวงการคลังยังคงเป็นเจ้าของคอกม้าใช่หรือไม่

การตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจเป็นการเตรียมสำรับกับข้าวไว้พร้อมแล้ว ไม่ต่างจากหลังวิกฤตต้มยำกุ้งที่รัฐบาลต้องออกกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ เป็นการตั้งสำรับให้คุณทักษิณนำไปสู่การแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มทุนไทยและทุนต่างชาติทั้งฝรั่งหัวดำหัวแดงอิ่มหนำสำราญกัน ใช่หรือไม่ มาคราวนี้ร่าง กม.บรรษัทฯ ไม่ใช่แค่การยกอาหารจานเดียวให้เอกชนกิน แต่อาจถึงขั้นยกตู้กับข้าวของประชาชนให้ทุนไทย และทุนฝรั่งทั้งหัวดำ และหัวแดงโดยประชาชนคนไทยจะไม่ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินของชาติแต่ประการใด

การตั้งต้นโดยหน้าฉากดูดีแบบนี้แหละ ที่คนไทยที่รู้ทันเขาร้องเป็นเพลงเปรียบเปรยว่า “ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไป ไหงกลายเป็นบ้องกัญชา” ใช่หรือไม่!!??






กำลังโหลดความคิดเห็น