xs
xsm
sm
md
lg

ธ.ซีไอเอ็มบีไทย ห่วงการลงทุนเอกชนไม่ฟื้น ศก. ซึมยาวเป็นรูปตัวแอล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ธ.ซีไอเอ็มบีไทย ห่วงการลงทุนเอกชนไม่ฟื้น ฉุดเศรษฐกิจซึมยาวเป็นรูปตัว L หนุนรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชน เพื่อให้เกิดการลงทุนจากเอกชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ซีไอเอ็มบีไทย คงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 3.2 โดยไตรมาส 2 โตประมาณร้อยละ 2.9 และจะขยายตัวร้อยละ 3 ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 โดยหวังการส่งอกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากตลาดโลกฟื้นตัว คาดส่งออกขยายตัวร้อยละ 3 เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน ที่คาดว่าขยายตัวร้อยละ 0.6 แต่เป็นห่วงการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำ 4 ปีซ้อน คาดโตเพียงร้อยละ 0.7 ลดลงจากครั้งก่อนที่คาดโตร้อยละ 1.4 ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับเอกชน โดยการส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่า โครงการของรัฐจะลงทุนต่อจนถึงรัฐบาลชุดต่อไปหลังการเลือกตั้ง

เพราะคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 ซึ่งจะช่วยให้ความมั่นใจดีขึ้น แต่หากการเมืองไม่เป็นไปตามโรดแมป จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นเอกชนลดลงจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำเป็นระยะเวลานานในลักษณะรูปตัว L โอกาสเศรษฐกิจไทยจะโตมากกว่าร้อยละ 4 ในช่วงปลายปี 2561 คงจะเป็นไปได้ยาก

ดังนั้น จึงได้เสนอแนะนโยบาย 3 ลด เพื่อเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1.การลดขนาดภาครัฐ และเพิ่มบทบาทภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนมากขึ้น เนื่องจาก การใช้จ่ายภาครัฐต่อ GDP ที่ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 17 มีความคล่องตัวน้อยกว่าเอกชน ดังนั้น ควรจะเร่งเดินหน้าความร่วมมือระหว่างรัฐ และเอกชน หรือ PPP เร่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เข้ามามีบทบาท ซึ่งหากรัฐบาลมีรายจ่ายลดลง รัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีรายได้มาก และอาจปรับลดภาษี เพื่อกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนของเอกชนได้

2.การลดกฎระเบียบ และเพิ่มความคล่องตัวของส่วนงานราชการให้รองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเอกชน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในเวทีโลก ไม่เช่นนั้นแล้ว นักลงทุนต่างชาติอาจยังลังเลที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตได้ และ 3.ลดกำแพงเพื่อนบ้าน การเปิดเสรีการค้า ภาคบริการในด้านการเงินกับหลายประเทศกับประเทศให้มากขึ้น แก้กฎหมายให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ หรือถือครองสินทรัพย์ให้มากขึ้น

สำหรับค่าเงินบาทในปัจจุบันที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ยอมรับว่าเป็นการแข็งค่าเร็ว และน่าตกใจ แต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจในนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงทำให้เม็ดเงินไหลเข้าในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทย แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง เมื่อนโยบายทรัมป์ มีความชัดเจนจนทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ต้องขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และเม็ดเงินจะไหลกลับไปที่สหรัฐฯ ตามเดิม ส่งผลให้เงินบาทช่วงปลายปีอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น