เดินหน้า “ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ ฉบับใหม่” เผย ก.พลังงาน แจง ครม.-คสช.4 ประเด็นร่าง พ.ร.บ.ปิโตรฯ ฉบับใหม่ เชื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศ พร้อมจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้ง “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ”
วันนี้ (21 มิ.ย.) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ร่วม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
โดยคณะรัฐมนตรีมีมติ รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เกี่ยวกับการบริหารจัดการปิโตรเลียมเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียม การแบ่งปันผลผลิตตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต และการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company : NOC) ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติรวม 2 ฉบับ ในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
มีรายงานว่า พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ได้รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 4 ประเด็น ได้แก่
1. มาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 บัญญัติให้ปิโตรเลียมเป็นของรัฐในการบริหารจัดการและจึงควรดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ดำเนินการมาโดยตลอด โดยการประกอบกิจการปิโตรเลียมที่ผ่านมาสามารถจัดเก็บค่าภาคหลวง ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน 1.83 ล้านล้านบาท โดยค่าภาคหลวงปิโตรเลียมบนบกจัดสรรให้ อปท.ในอัตราร้อยละ 60
2. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียม ควรแต่งตั้งบุคคลที่มีที่มาจากองค์กรภาคประชาสังคม ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ สาขาธรณีวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน กฎหมาย เป็นต้น ซึ่ง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ได้กำหนดไว้แล้ว
3. การทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตสามารถกำหนดให้มีทั้งแบบคงที่และขั้นบันได ซึ่งการแบ่งเป็นแหล่งปิโตรเลียมคุณภาพต่ำ แต่ต้นทุนสูง จึงควรได้รับอัตราส่วนแบ่งผลผลิตสูงเพื่อจูงใจ แต่แหล่งปิโตรเลียมคุณภาพสูง ต้นทุนต่ำ ก็ควรได้รับการแบ่งปันผลผลิตที่น้อยลง โดยภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิตสามารถนำข้อสังเกตมาปรับใช้ได้ ภายใต้กฎหมายกำหนดไม่เกินร้อยละ 50
4. ควรแต่งตั้งคณะกรรมการภายใน 60 วัน เพื่อพิจารณาศึกษารายละเอียดของรูปแบบและวิธีการการจัดตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOC) จนได้ข้อยุติภายใน 1 ปี ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ข้อยุติตามข้อสังเกต
มีรายงานว่า สำหรับรายละเอียดของข้อสังเกตประกอบไปด้วย เกี่ยวกับการบริหารจัดการปิโตรเลียมเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียม การแบ่งปันผลผลิตตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต และการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ หรือ NOC
โดยกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงในข้อแรกเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม บัญญัติให้ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐในการบริหารจัดการ และต้องดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติละประชาชน โดย กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า ที่ผ่านมา การบริหารงานคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนอยู่แล้ว และการจัดหาทรัพยากรปิโตรเลียม เพื่อสนองต่อความต้องการใช้พลังงานในประเทศ ซึ่งการประกอบกิจการปิโตรเลียมที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บค่าภาคหลวง ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ประมาณ 1.83 ล้านล้านบาท ส่วนค่าภาคหลังนำไปจัดสรรสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วน 60%
ส่วนการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั้น ได้กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการปิโตรเลียมไว้ในกฎหมาย รวมถึงคุณสมบัติว่าต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้านในสาขาธรณีวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน กฎหมาย หรือสาขาอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อกิจการ
ด้านการทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตนั้น ประกอบด้วย 3 ระบบ คือ 1. สัมปทานปิโตรเลียม 2. สัญญาแบ่งปันผลผลิต และ 3. สัญญาจ้างบริการ ซึ่งการเลือกใช้ระบบใดจะมีหลักในการพิจารณาโดยอาศัยข้อมูลศักยภาพของแห่งปิโตรเลียม คำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐจะได้และต้องสามารถจูงใจผู้ลงทุนได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่เศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น โดยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่กำหนดไม่เกิน 50%
ขณะที่การจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาตินั้น เพื่อให้เป็นหน่วยงานเกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศ ต้องมีความเหมาะสมกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย รวมทั้งรูปแบบของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ต้องพิจารณาด้วยว่าจะเป็นแบบใด ทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ องค์กรมหาชน ดังนั้นจึงจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้ง รูปแบบการจัดตั้ง วิธีการ ซึ่งทุกอย่างยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อยุติอย่างรวดเร็ว และภายในระยะเวลา 1 ปี หลังจากที่พ.ร.บ.ปิโตรเลียมประกาศลงราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้
มีรายงานว่า ก่อนหน้านั้น ครม.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป