xs
xsm
sm
md
lg

จับมือบึ้ม รพ.พระมงกุฎฯ ส่อ “คว้าลม” เสียหน้า-เสียเก้าอี้!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา

หากนับเอาเฉพาะเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่ใกล้ห้องรับรอง “วงษ์สุวรรณ” ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็นานเกือบสองสัปดาห์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยัง “ไร้วี่แวว” ยังไม่อาจหาเบาะแสจับกุม รวมไปถึงการรวบรวมหลักฐานได้มากพอเพื่อเสนอขอให้ศาลอนุมัติหมายจับได้เลย

ขณะเดียวกัน หากเหตุการณ์ดังกล่าวยังดูเหมือนมีการไม่ไว้วางใจกันระหว่างทหารกับตำรวจ ที่คราวนี้ผิดไปกว่าทุกครั้งที่ฝ่ายกองทัพหรือฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีการรวบรวมหลักฐานเองเป็นส่วนใหญ่ เริ่มจากการเข้าไปเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ การตรวจกล้องวงจรปิด เป็นต้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจนบัดนี้ก็ยังไม่อาจจับกุมคนร้าย หรือคนที่ลงมือก่อเหตุได้เลย

ที่ผ่านมามีเพียงการสันนิษฐานกว้างๆ มีกลุ่มต้องสงสัยมากมายหลายสิบกลุ่ม รวมไปถึงนายทหารนอกราชการที่มีชื่อย่อ ช.-พ.-ส.ที่ทำให้ชาวบ้านต้องเดาสุ่มชี้หน้าไปเรื่อย แต่ในที่สุดก็ยังไม่คืบหน้า และพวก “ทหารแก่” พวกนั้นก็ออกมาปฏิเสธและตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง พร้อมกับการเสียดสีเยาะเย้ยไม่เกรงใจดังที่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นกันไปแล้ว

หากพิจารณากันแบบตัดตอนกันเอากันเฉพาะเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่หลายคนมองเห็นตรงกันว่าคนที่สั่งการนั่นมีเจตนา “หยามเย้ย” คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างชัดเจน เพราะเกิดขึ้นในช่วงวันครบรอบ 3 ปีของการเข้ามาควบคุมอำนาจ มิหนำซ้ำยังลงมือที่ใกล้กับ “ห้องวงษ์สุวรรณ” เสียอีกแบบนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก มันชัดยิ่งกว่าชัด

แต่ความหมายตามมาก็คือ แล้วมีน้ำยาจับคนร้ายได้หรือเปล่า นี่แหละคือคำถามใหญ่ เพราะหากจำกันได้เหตุการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นใกล้เคียงกับเหตุการณ์ในต่างประเทศที่คนร้ายลอยวางระเบิดในคอนเสิร์ตที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ของเขาเจ้าหน้าที่สามารถออกหมายจับคนร้ายที่ร่วมขบวนการได้หลายคน และตามจับได้เรื่อยๆ มีการระบุชื่อตามมาได้อย่างชัดเจน

แน่นอนว่านี่คือคำถามถึงประสิทธิภาพในการสืบเสาะหาคนร้ายหลังเกิดเหตุ แม้ว่าจะไม่อาจป้องกันการก่อเหตุได้ก็ตาม และหากพิจารณากันแบบต่อเนื่องกันเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งที่ 3 ติดต่อกันนับจากที่หน้ากองสลากหลังเก่า ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ ที่คนร้ายมีเจตนาหยามหยัน และสองครั้งก่อนหน้านั้นก็จับกุมคนร้ายไม่ได้ จนเรื่องค่อยๆ เงียบหายไปตามเวลา

ดังนั้น หากคราวนี้ยังไม่อาจจับกุมคนร้ายที่ลอบวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้อีก มันก็เสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันอีก และอาจมีความเสี่ยงว่าจะรุนแรงกว่าเดิม เพราะในเมื่อไม่อาจจับมือใครดมไม่ได้ มันก็เหมือนกับการยั่วยุให้ก่อเหตุมากขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5 ต่อไป

ขณะเดียวกัน มาถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ากระบวนการสืบสวนหาคนร้ายพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์ ของระดับบิ๊กหลายคน เริ่มตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถือว่าเป็น “พี่ใหญ่” ที่สุดในด้านนี้และยังถือเป็นเป้าหมายในการ “หยาม” กันแบบจงใจที่แม้ว่าจะระบุว่าเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนผู้ต้องสงสัยจำนวน 40-50 คน

แต่เมื่อฟังจากฝ่ายตำรวจเริ่มจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ระบุว่ารู้ชื่อนามสกุลคนร้ายแล้วและเตรียมออกหมายจับในเร็วๆ นี้ แต่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่รับผิดชอบในฐานะที่ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าทีมดูแลคดีกลับพูดไปอีกทางในแบบที่ว่ามีความคืบหน้าของคดีแค่ร้อยละ 20 อีกทั้งภาพสเกตช์คนร้ายก็ให้น้ำหนักแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าไปกันคนละทาง ถูกมองว่า “ซดเกาเหลา” กันอีกแล้วจนต้องออกมากอดคอปฏิเสธ แต่นั่นก็ยังไม่ถือว่าเป็นประเด็น ประเด็นก็คือว่าไม่ว่าจะเกาเหลา หรือใครจะขัดแย้งกับใคร รวมไปถึง “ใคร” กำลังเลื่อยขาเก้าอี้ใครก็ตาม ก็ต้องหาคนร้ายและคลี่คลายคดีจนเป็นที่พอใจให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมี “คนรับผิดชอบ”

ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็เคยประกาศเอาไว้แล้วว่า “ผมจะรับผิดชอบ” เพียงแต่ว่ายังไม่บอกว่าจะรับผิดชอบแบบไหน และสื่อมวลชนก็ปากหนักไม่ได้ถามให้ชัด แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องแสดงออกอยู่แล้ว เพราะไม่ทางอยู่เป็นสุขหากยังจับคนร้ายไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง “พี่ใหญ่” ที่เป็นหัวเรือใหญ่ด้านความมั่นคง อาจจะถึงเวลาต้องพักผ่อนก่อนเวลาจริงๆ แล้วก็เป็นได้!
กำลังโหลดความคิดเห็น