xs
xsm
sm
md
lg

“พี่ใหญ่” ต้องสตรอง กัดฟันรีเทิร์นคุมเกมความมั่นคง คสช.-รัฐบาล!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา



“ไม่เป็นไร สบายดี”

“ไหวสิ ถ้าไม่ไหวก็ไม่ทำงานแล้ว ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร”

นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่กระทรวงกลาโหมเป็นวันแรกหลังจากหายหน้าหายตาไปนานประมาณ 2 สัปดาห์เนื่องจากมีอาการป่วย

มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร เข้ารักษาอาการป่วยจากอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ ตั้งแต่วันที่ 17-28 พฤษภาคม โดยปรากฏตัวครั้งสุดท้ายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนวันนี้รวมระยะเวลา 14 วัน แม้ว่าในวันนี้ พล.อ.ประวิตรจะมีรอยยิ้มและตอบคำถามสื่อมวลชนทุกคำถาม แต่ตอบช้าลง ไม่มีอาการหงุดหงิด แต่มีสีหน้าที่อิดโรยและผอมลงอย่างเห็นได้ชัด โดยหลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จได้เดินขึ้นลิฟต์เพื่อเข้าไปห้องทำงาน ก่อนจะประชุมสภากลาโหม

มีรายงานว่าในช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ได้ประชุมสั่งงานที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดซึ่งเป็นบ้านพักภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) ได้พูดคุย สั่งงานกับคนใกล้ชิด พร้อมทั้งรับประทานข้าวต้ม และต้มจับฉ่าย

แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย่อมต้องได้รับการจับตามองจากหลายฝ่ายแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายตรงข้าม เพราะเขาคือหัวใจสำคัญด้านความมั่นคงของฝ่ายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกด้วย

การหายหน้าไปนานราวสองสัปดาห์ถือว่า “นาน” พอสมควร ทำให้มีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องปัญหาสุขภาพของเขามาอย่างต่อเนื่อง หลังากก่อนหน้านี้เมื่อหลายเดือนก่อนเขาเคยประสบอุบัติเหตุหกล้มจนต้องพักฟื้นเป็นเวลาหลายวัน และทำให้เดินไม่ค่อยสะดวก ประกอบกับอายุที่มากในวัย 70 ปี เมื่อเจอกับเรื่องปัญหาความมั่นคงหลายเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาจนเป็นที่จับตามองกันถึงอนาคตของเขาในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่อีกด้วย

การกลับมาที่ทำงานที่กระทรวงกลาโหมเมื่อตอนเช้าวันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคมด้วยสีหน้าอิดโรย และถือว่าอาการยัง “ไม่เต็มร้อย” แต่ต้องฝืนทนกลับมา หากจะเป็นการตั้งข้อสังเกตว่าต้อง “สตรอง” ให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นมันก็อาจมองแบบนั้นได้ เพราะหากพิจารณาจากวันที่เกิดเหตุลอบวางระเบิดครั้งล่าสุดที่หน้าห้อง “วงษ์สุวรรณ” ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็ตรงกับวันครบรอบ 3 ปีของการเข้ามาควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสองประเด็นดังกล่าวมันก็เหมือนกับการท้าทายโดยตรงซึ่งถือว่าใกล้ตัวมากที่สุด

ขณะเดียวกัน หากนับเอาการลอบวางระเบิดสองครั้งก่อนหน้านี้ที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหลังเก่าเมื่อวันที่ 5 เมษายน และที่หน้าโรงละครแห่งชาติ ใกล้ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายทหารระบุตรงกันว่ามันเชื่อมโยงกันเป็นฝีมือของคนกลุ่มเดียวกันและเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ใกล้กับ “ห้องวงษ์สุวรรณ” นั้น พล.อ.ประวิตรเคยหลุดปากออกมาให้ได้ยินว่า “อาจจะเป็นฝีมือของคนใกล้ๆ” ก็ได้ แม้ว่าจะยังเป็นปริศนาว่าใครกันแน่ แต่มันก็อาจเข้าเค้าได้ว่าน่าจะเป็น “พวกคนมีสี” ซึ่งแนวโน้มน่าจะไปทาง “สีเขียว” มากกว่าก็เป็นได้

หากพิจารณาจากเป้าหมายจากทั้งสามเหตุการณ์ดัวกล่าวก็ต้องสรุปว่าต่องการ “เขย่า” ฝ่ายความมั่นคงที่นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง เพราะล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ได้ระบุชัดแล้วว่าเวลานี้ฝ่ายตรงข้ามซึ่งหมายถึงฝ่าย “อำนาจเก่า” กำลังเดินสาย “บิดเบือน” โจมตีไปทุกระดับทั่วประเทศอย่างเข้มข้น จนทำให้เขาต้องตอบโต้ด้วยการให้ประชาชนตอบคำถาม 4 ข้ออันร้อนแรง เนื่องจากได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายพรรคการเมืองอย่างดุเดือดกลับมา โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวหากำลังสร้างเงื่อนไขเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แต่ก็มีเสียงยืนยันกลับมาว่าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการในโรดแมป เพียงแต่เป็นการให้ชาวบ้านช่วยกันคิดหาทางออกเท่านั้น

ดังนั้น หากพิจารณากันจากภารกิจข้างหน้าที่ต้องเผชิญ และรับรู้กันแล้วว่าเป้าหมายด้านความมั่นคงกำลังพุ่งมาที่เขา มันก็ต้องจำเป็นต้องกัดฟัน “สตรอง” และต้องแสดงให้เห็นว่าต้อง “คุมเกม” ให้ได้ต่อไป แม้ว่านาทีนี้ดูแล้ว “สังขาร” ไม่ค่อยอำนวย แต่ถึงอย่างไร “ใจสู้โว้ย” ถอยไม่ได้ ยิ่งหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ยิ่งออกอาการให้เห็นไม่ได้เป็นอันขาด!
กำลังโหลดความคิดเห็น