เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเข้าใกล้ “ระเบิดรายวัน” เข้าไปทุกทีแล้ว จากเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อตอนบ่ายวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับสิบคน เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าวมีข้อน่าสังเกตตามมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการก่อเหตุในวันครบรอบ 3 ปีของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และเป็นการวางระเบิดหน้าห้องรับรองแขกวีไอพีที่ชื่อว่า ห้อง “วงษ์สุวรรณ” อีกด้วย
แน่นอนว่าการลอบวางระเบิดคราวนี้ได้รับเสียงประณามจากคนรอบทิศเพราะก่อเหตุในโรงพยาบาลซึ่งไม่มีใครเขาทำกัน เพราะแม้แต่ในช่วงสงครามก็ยังเป็นพื้นที่ยกเว้น มีแต่สิ่งมีชีวิตที่เป็นเดรัจฉานเท่านั้นที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้ลงคอ
หลังเกิดเหตุและมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญก็มีการสรุปชัดเจน เริ่มจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายคดีความมั่นคง ว่าเป็นการลอบวางระเบิด จากนั้นก็มีการแถลงจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รวมไปถึง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกที่ระบุเพิ่มเติมไปอีกว่าคนร้ายต้องการมุ่งหมายเอาชีวิตเพราะมีการใส่ตะปูเพื่อให้เป็นสะเก็ดระเบิด โดยระเบิดเป็นระเบิดไปป์บอมบ์เช่นเดียวกับเหตุที่หน้ากองสลากเก่าและหน้าโรงละครแห่งชาติ
“คิดว่า 3 คดีที่เกิดขึ้นมาจากกลุ่มเดียวกันเพราะระเบิดเป็นชนิดเดียวกัน แต่ยังไม่ฟันธงว่าเป็นฝีมือกลุ่มใด หากได้ตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 กรณีก็จะขยายผลต่อไปได้”
แม้ว่าหากปะติดปะต่อเรื่องราวตั้งแต่การลอบวางระเบิดที่เริ่มน่าสงสัยตั้งแต่ที่หน้ากองสลากฯหลังเก่าถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 5 เมษายน ก่อนมีพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงไม่กี่ชั่วโมง หากมองในแง่ “สัญลักษณ์” มันก็มองเห็นภาพบางอย่างซ้อนขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ และค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณากันต่อไปจะเห็นว่าที่ผ่านมามีกลุ่มไหนบ้างที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และมีกลุ่มไหนบ้างที่ “เสียหาย” มากที่สุดหากมีการประกาศใช้
นั่นเป็นครั้งแรก ถ้าไม่นับเอาเหตุระเบิดครั้งก่อนๆที่แม้พอประมวลมันก็พอเชื่อมต่อถึงกันได้ เพียงแต่ว่าโฟกัสเอาเฉพาะที่น่าจะมีความชัดเจน ซึ่งก็เชื่อว่ากลุ่มคนร้ายคนบงการอยู่เบื้องหลังน่าจะต้องการให้มีการเชื่อมโยงแบบนั้น ถึงลงมือก่อเหตุที่หน้าโรงละครแห่งชาติบริเวณท้องสนามหลวง ที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ล่าสุดก็เกิดเหตุซ้ำที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ดังที่ทราบกันแล้วจากคำแถลงของเจ้าหน้าที่ที่ระบุว่าคราวนี้มีความแตกต่างจากสองครั้งแรกคือมุ่งหวังเอาชีวิตด้วย เพราะมีการเศษตะปูเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย
ดังนั้น หากนับเอาเฉพาะสามเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น “ระเบิดรายวัน” กันไปแล้ว และที่สำคัญตั้งแต่เกิดเหตุเดือนเมษยนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ยังไม่อาจหาเบาะแสหรือจับกุมคนร้ายได้แม้แต่รายเดียว และจากรายงานข่าวที่ทราบตามมาก็คือการหาพยานหลักฐานเป็นไปได้ยาก เพราะเมื่อเสาะหาจากกล้องวงจรปิดกลับพบว่ามักมีปัญหา มีภาพไม่ชัดหรือบังเอิญว่ากล้องในบริเวณนั้นเกิดเสียขึ้นมาดื้อๆก็มี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงนำไปสู่ข้อสงสัยตามมาว่าประสิทธิภาพด้านการข่าว หรือประสิทธิภาพในการสืบหาเบาะแสของเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายทหารและตำรวจมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ จนต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
การก่อเหตุลอบวางระเบิดที่ผ่านมาอย่างน้อยสองครั้งที่หน้ากองสลากฯหลังเก่า มาถึงหน้าโรงละครแห่งชาติซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามจะแสดงให้เห็นว่าเป็นระเบิดที่ไม่มีความรุนแรงไม่ได้ประสงค์ต่อชีวิตและทรัพย์สินให้เสียหาย รวมไปถึงล่าสุดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าก็มีคนเจ็บ แต่หากพิจารณาจากความหมายที่กลุ่มคนร้ายต้องการสื่อออกมาให้เห็นก็คือ ต้องการ “หยามกันแบบไม่ไว้หน้า” นั่นคือคิดจะลงมือเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง “ไม่มีน้ำยา” หาเบาะแสสืบเสาะได้เจอเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
คราวนี้ลงมือในวันครบรอบ 3 ปีของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในพื้นที่ของทหารแม้จะเลวทรามที่ลงมือในเขตพื้นที่โรงพยาบาลก็ตาม แต่ขณะเดียวกันเหตุเกิดขึ้นหน้าห้อง “วงษ์สุวรรณ” เจตนามุ่งตรงต้องการตบหน้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่คุมทุกหน่วยงานเอาไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จถือว่าเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้
ดังนั้น หากจะฟันธงว่าการลอบวางระเบิดทั้งสามครั้งล่าสุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงระบุว่าเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกันก็ต้องบอกว่านี่คือเจตนา “หยาม” คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หยาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่รวบเอางานด้านความมั่นคงไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จให้อับอายขายหน้าว่า “ไร้น้ำยา” ขณะเดียวกัน หากในที่สุดแล้วยังหาเบาะแสหรือจับกุมใครไม่ได้อีกก็จบเห่ นับถอยหลังจบไม่สวยแน่นอน เพราะที่ผ่านมาถือว่างานด้านความมั่นคงการรักษาความสงบเป็นจุดขาย แต่เมื่อเจอแบบนี้กลายเป็นตรงข้าม มันก็พอคาดเดาอนาคตของพวกเขาได้เหมือนกัน!