หัวหน้าพรรคคนไทย ฉะจำนำยุ้งฉางแค่เกมการเมือง วอน รัฐบาล - ฝ่ายตรงข้าม เลิกเล่นเกม ร่วมผลักดันแนวทางช่วยเหลือชาวนาแบบยั่งยืนตามแนวพระราชดำริ “โรงสีข้าวพระราชทานบ้านโนนศิลาเลิง” ลั่นถ้าเป็นนายกฯ เลิกจำนำ - ประกันราคา หันทุ่มงบสร้างโรงสีอาสาชุมชนทั่ว ปท. พร้อมกว้านซื้อข้าวเปลือกด้วยราคานำตลาดด้วย
นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงมาตรการปล่อยสินเชื่อให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง หรือการจำนำยุ้งฉางของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำ ว่า ผ่านไป 2 สัปดาห์ หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการจำนำยุ้งฉางออกมา จะเห็นได้ว่า ด้านหนึ่งอาจสร้างความพอใจให้เกษตรกรบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากข้าวหอมมะลิมีเฉพาะในบางพื้นที่ และที่สำคัญ ราคาข้าวในตลาดโดยรวมก็ยังไม่ขยับขึ้น อีกทั้งยังมีเกษตรกรชาวนาส่วนอื่นหรือข้าวประเภทอื่นก็ออกมาเรียกร้องขอให้รัฐบาลอุดหนุนในลักษณะเดียวกับข้าวหอมมะลิบ้าง ซึ่งสะท้อนว่า การจำนำยุ้งฉางที่คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทนั้น ไม่ได้ผลที่แท้จริง ทำได้เพียงการหยุดกระแสด้านการเมืองเท่านั้น เป็นแค่มาตรการแก้เกมทางการเมือง เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามสร้างประเด็นราคาข้าวตกต่ำมาโจมตีรัฐบาล
“อยากให้ทุกฝ่ายหยุดเล่นเกม หยุดสร้างภาพ ขอให้คำนึงด้วยว่า เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ประเทศกำลังอยู่ในเวลาใด โดยเฉพาะรัฐบาลต้องหยุดใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ต้องคำนึงด้วยว่า หลังจากที่จ่ายเงินช่วยชาวนานับหมื่นล้านบาทนี้แล้ว ประเทศชาติได้อะไรจริงๆ กลับมา”
นายอุเทน กล่าวต่อว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ผ่านโครงการโรงสีข้าวพระราชทานบ้านโนนศิลาเลิง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้าง มาเป็นแนวทางตัวอย่างตั้งแต่ปี 2540 แล้ว โดยให้โรงสีข้าวโนนศิลาเลิง เป็นตัวอย่างของการบริหารในแบบที่ชาวนาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง พระองค์เคยมีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 40 ความตอนหนึ่งว่า
“...แต่ถ้าพูดถึงข้าวที่โรงสีนี้ใช้ ไปซื้อจากเกษตรกรโดยตรง โดยให้ราคาที่เหมาะสม เกษตรกรก็มีความสุข เพราะไม่ต้องมีการขนส่งมากเกินไป ไม่ต้องมีคนกลางมากเกินไป ตกลงผู้ผลิต ผู้บริโภคก็มีความสุข...” ตรงนี้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องควรนำใส่เกล้าใส่กระหม่อม และนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง โดยส่งเสริมให้มีโรงสีลักษณะนี้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทุกพื้นที่ เพื่อเป็นกลไกในการช่วยเหลือชาวนาอย่างยั่งยืน และในบางห้วงเวลายังใช้เป็นกลไกในการควบคุมราคาข้าวเปลือกเพื่อไม่ให้เกิดความผิดปกติของราคาได้อีกด้วย แต่รัฐบาลแทบทุกยุคยังคิดเพียงแต่การเอาชนะกันทางการเมือง โดยออกมาตรการระยะสั้น ทั้งอุดหนุนเงิน จำนำ หรือประกันราคา โดยที่รัฐเสียเงินงบประมาณ ประเทศชาติเสียประโยชน์แบบไม่ได้อะไรกลับคืนมา
“ถ้าผมเป็นนายกฯจะยกเลิกการจำนำยุ้ง และนำงบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทนี้ ส่วนหนึ่งไปส่งเสริมให้เกิดโรงสีอาสาในชุมชนทั่วประเทศ และอีกส่วนจะใช้เป็นกองทุนในการแทรกแซงราคาข้าว โดยซื้อข้าวเปลือกในราคานำตลาด คือ สูงกว่าราคาตลาดไม่เกินกิโลกรัมละ 50 สตางค์ แล้วดำเนินรอยตามแนวพระราชดำริ นำมาเข้ากระบวนการโรงสีอาสาชุมชน เพื่อนำไปขายตรงต่อไป หากทำได้เช่นนี้ชาวนาก็จะไม่ประสบปัญหาการถูกกดราคาข้าวเปลือก และรัฐบาลเองก็ได้ข้าวมาเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่เสียงบประมาณไปเปล่าๆ”