กกต.ด้านการมีส่วนร่วม ไม่กังวลเซตซีโร่ กกต. อยู่หรือไปขึ้นอยู่กับกฎหมายลูก ยันไม่มีความขัดแย้งในองค์กร เป็น 5 เสื่อชุดที่กลมเกลียวที่สุด มั่นใจสร้างระบบเครือข่ายทำการเมืองโปร่งใส ไร้ทุจริต
นายประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วมกล่าวถึงกระแสที่จะเซตซีโร่ กกต.ว่า กกต.จะอยู่ต่อไปอย่างไรขึ้นอยู่กับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นมาใหม่ ทุกองค์กรเหมือนกันหมด ฉะนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนหรือมีอะไรที่เกี่ยวกับเซตซีโร่ คนตัดสินใจขั้นที่ 1 คือ กรธ.เพราะทำหน้าที่ยกร่างฯ จากนั้นส่งไป สนช.เพื่อให้ความเห็นชอบ ดังนั้นต้องรอดู พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าจะอย่างไรก็ว่าตามนั้น ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล และไม่ใช่ว่าตัวเองจะห่วงหรือไม่ห่วง แต่ไม่มีหน้าที่ที่จะไปกังวลหรือห่วงอะไร เพราะว่าในรัฐธรรมนูญบอกว่าขึ้นอยู่กับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่หน้าที่ กกต.ที่จะไปบอก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมามีความบกพร่องอะไรจึงมีเสียงภายนอกให้เซตซีโร่ กกต. นายประวิชกล่าวว่า กกต.ชุดนี้มาอยู่ 2 ปีเศษ ในฐานะที่เคยผ่านงานภาครัฐมามากคิดว่าชุดนี้เป็น กกต.ที่กลมเกลียว สามารถหาข้อยุติต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผล บ่อยครั้งเป็นเอกฉันท์ถือว่าเป็นการทำงานที่ราบรื่นมาก ไม่เห็นมีอะไรที่จะเป็นเหตุได้ที่มีความขัดแย้ง ตนมองไม่เห็นเหตุตรงนั้น
ส่วนเรื่องเก้าอี้ประธาน กกต.เรื่องนี้เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีการกำหนดไว้ว่าให้ กกต.เป็นแบบคณะกรรมการ เมื่อทำงานเป็นแบบคณะกรรมการ แต่ละคนควรมีโอกาสในการจะเรียนรู้งานแต่ละด้าน หรือผลัดเปลี่ยนกันในการกำกับได้ เรากำลังให้สำนักงานฯ กกต. เซตรูปแบบขึ้นมา ยอมรับว่าการปรับเปลี่ยนบทบาทมีการพูดกัน แต่จะไปถึงการเปลี่ยนตัวประธาน กกต.เลยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กระบวนการหลายขั้น การตัดสินใจจะเป็นภาพองค์รวมหรือประธานเองเห็นอย่างไร คงต้องเป็นความเห็นร่วมกันในวันเวลาที่เหมาะสมค่อยว่ากันอีกครั้ง คงไม่ใช่เป็นการแย่งเก้าอี้ประธานอย่างที่เป็นข่าว ไม่มีภาพอะไรที่เป็นแบบนั้น
ต่อข้อถามว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกที่จะคลอดออกมาสามารถคลอดนักการเมืองน้ำดีได้จริงหรือไม่ นายประวิชกล่าวว่า มีความพยายามมา 84 ปีแล้ว ไม่ใช่เฉพาะตอนนี้ มีความพยายามในช่วงที่ตนเป็นนักการเมืองมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นคือเราพยายามใส่เข้าไปเยอะมาก เรื่องกฎกติกา บทลงโทษ ห้ามอย่างนั้นห้ามอย่างนี้ พอลงสนามจริงกลายเป็นว่าบางคนกลับไปใช้ช่องโหว่มาร้องเรียนกัน บางครั้งมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และหาช่องทางกฎหมายลงไปดำเนินการสร้างความทุกข์ให้แก่กัน
“วันนี้ต้องยอมรับว่า กกต.ทำหน้าที่มา 18 ปี แม้ว่าจะวางรากฐานกันมาดีตั้งแต่ชุดที่ 1-4 เรามั่นใจเรื่องความสุจริต เที่ยงธรรม ในเรื่องกระบวนการ เป็นมาตรฐานสากลได้รับการยอมรับจากผู้มาสังเกตการณ์ แต่ส่วนหนึ่งที่อยากจะเห็นและระดมสมองโดยเฉพาะที่จะคลอด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญอีก ต้องตั้งโจทย์ว่าถ้าเขียนข้อนี้ไป จะช่วยให้ลดสิ่งที่ถามได้หรือไม่ ให้คนที่ได้รับการเลือกตั้งมีความภาคภูมิใจว่าได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาโดยความสุจริต หัวใจตรงนี้คิดว่านักการเมืองทุกคนต้องการ ไม่มีใครอยากซื้อเสียง โกงการเลือกตั้ง พอมาทำงานตรงนี้ได้ทำเรื่องการมีส่วนร่วมโดยตรง ถึงได้คิดเรื่องเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามาร่วมทั้งเรื่องการจัดการตรวจสอบทุกขั้นตอน เชื่อว่าจะทำให้การเมืองโปร่งใสในทุกขั้นตอน ถ้าทำตรงนี้ให้ดี ข้อกล่าวหาซึ่งกันและกัน เรื่องการซื้อเสียงต่างๆ จะค่อยลดลงไป และจะเป็นการเมืองที่ว่ากันด้วยนโยบายมากขึ้น”