xs
xsm
sm
md
lg

“องคมนตรี” ยกสถาบันฯ ศูนย์รวมจิตใจ เปรียบโกงเหมือนปลวก “ปนัดดา” แฉการเมืองบิดเบือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รบ.สัมมนาเรื่องสถาบันกษัตริย์กับความมั่นคงชาติ “องคมนตรี” ยกเป็นศูนย์ร่วมจิตใจ ฝากผู้ใหญ่ในชาติวิกฤตการเปลี่ยนแปลง วิธีเดิมอาจรับมือไม่ไหว เทียบทุจริตเหมือนปลวกกินชาติ เชื่อกระบวนการยุติธรรมตรงไปตรงมา คนโกงน้อย เร่งสร้างหิริโอตตัปปะ ละอายทำชั่ว แนะปฏิรูปการศึกษาเรียนรู้คู่คุณธรรม “จรัล” ย้ำประชาชน-ต่างชาิตเชื่อมันสถาบันฯ “ปนัดดา” ปูดกลุ่มการเมืองชักใยบิดเบือนสถาบันฯ

วันนี้ (29 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” ที่มีเจ้าหน้าที่ข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม จัดโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมี นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ นายกสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เข้าร่วมอภิปราย

พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการ สมช.กล่าวว่า สมช.ได้กำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้หน่วยงานราชการได้ใช้เป็นแนวทางในการรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาหลักที่หลากหลายมากขึ้น โดยบทแรกคือการดำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ประสานหน่วยงานทุกภาคส่วนกำหนดแนวทางการรักษาสถาบันหลักของชาติ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ดำรงความยั่งยืนให้อยู่คู่ยั่งยืนในชาติไทยสืบไป โดยการสร้างจิตสำนึกความจงรักภักดี

ด้าน ม.ล.ปนัดดากล่าวเปิดงานว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ผูกพันสังคมไทยมาโดยตลอดช้านานมาก ในฐานะที่ได้ทรงมีคุณาปการต่อแผ่นดินนี้ได้ทรงนำพาประเทศอยู่รอดปลอดภัย เป็นศูนย์กลางรู้รักสามัคคีของคนในชาติ เป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยเฉพาะยามเกิดวิกฤตของประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญยิ่งในการนำพาประเทศหลุดพ้นจากวิกฤต จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือพสกนิกรตลอดมา เห็นได้จากโครงการในพระองค์และโครงการพระราชดำริกว่า 4 พันโครงการทั่วราชอาณาจักร รวมถึง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ดังนั้นประชาชนต้องมุ่งมั่นทำความดีถวายเป็นพระราชกุศล

จากนั้น นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับความมั่นคงของประเทศ” ตอนหนึ่งว่า แนวทางดูแลบ้านเมืองตลอด 70 ปีการครองราชย์ของพระองค์ท่าน พระราชกรณียกิจมีรูปแบบที่น่าติดตามและอยากฝากผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองศึกษาดู ด้วยวิกฤตการผันแปรเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ยากที่จะหลีกเลี่ยง ต้องระวังประคับประคองตัวเอง เตือนสติตัวเองว่าบ้านเมืองเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มีผลกระทบทั้งดีและร้าย วันนี้ เราเจอวิกฤตกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจวิกฤตกว่าสมัยก่อน หากใช้วิธีคิดแบบเดิม วิธีการทำงานอย่างเดิมอาจรับมือไม่ได้ หรืออาจจะเสียหายได้ อย่างน้อยรัฐบาลชุดนี้รับมือด้วยประกาศ 3 เสาหลัก สำหรับยุทธศาสตร์ 20 ปีข้างหน้า มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน จะช่วยให้งานประสบความสำเร็จได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมีทั้งขาขึ้นและขาลง ระบบข้อมูลข่าวสารจึงมีความสำคัญทุกหน่วยงาน เพื่อคำนวณยุทธศาสตร์รับมือ

นพ.เกษมกล่าวต่อว่า มีคนมองโลกในแง่ร้ายว่าอีก 100 ปีข้างหน้าจะมีเรื่องของความสุดโต่งทั้งทางธรรมชาติที่จะสร้างความเสียหายมาก เศรษกิจที่มีภาวะตกต่ำไปทั่วโลก สุดโต่งทางการเมืองในเรื่องของความคิด รบราฆ่าฟันกัน วางระเบิดกัน และสุดโต่งด้านสังคม เกิดวิกฤตคุณธรรม นักคิดตะวันตกเตือนให้ระวังกระแสโลกาภิวัฒน์พัดแรงขึ้น วิถีชีวิต การทำธุรกรรม ธุรกิจถูกดิจิทัลทำให้การเปลี่ยนแปลง ต้องปรับตัวโดยเฉพาะคนจน โดยรัฐบาลไทยปรับเร็วมาก เพราะตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ซึ่งการทำธุรกรรมจะตัดพ่อค้าคนกลางไปเยอะ ตู้เอทีเอ็มอาจไม่มีแล้ว และสุดท้ายต้องระวังว่าคนบางกลุ่ม บางความคิด จะไม่ใช่การพูดคุยแบบเพื่อนๆ เขาจะใช้ความรุนแรงเพื่อตัดสินปัญหา เพราะฉะนั้นความรุนแรงเกิดขึ้นง่าย

“สมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่าเป็นการปฏิรูปที่แท้จริง จนถึงยุคปัจจุบันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด หากย้อนกลับไปบรรพบุรุษเรามีอัธยาศัยอ่อนโยน มีมนุษยธรรม ผู้เยาว์เคารพบิดามารดา บ้านเมืองสะอาด คนไทยสุภาพ ร่าเริง ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เหตุที่นำมาเตือนพวกเรา เราอาจต้องถามตัวเองว่าแล้ววันนี้ คุณลักษณะใจคอชาวสยามได้ถ่ายทอดมาคนรุ่นเราหรือลูกหลานหรือไม่ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ ช่วงรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านทรงห่วงมีการตั้งโรงเรียน เอาเด็กออกจากวัด เลยห่างจากวัด ท่านรับสั่งวิตกว่าเด็กชั้นหลังจะห่างเหินจากศาสนา กลายเป็นคนไม่มีธรรมะในใจมากขึ้น ซึ่งหากคนไม่มีธรรมะเป็นเครื่องดำเนินตามก็คงจะหันไปทางทุจริตได้มากขึ้น ถ้ารู้น้อยโกงไม่ค่อยคล่อง หรือโกงไม่สนิท แต่ถ้ารู้มากก็โกงมากขึ้น โกงพิสดารมากขึ้น มาถึงวันนี้สะท้อนใจไม่ได้ ถ้าเราจะการจัดการศึกษาไว้ในหมวดหมู่คุณธรรมด้วย พูดถึงธรรมะด้วย บ้านเมืองน่าสงบกว่านี้แน่”

นพ.เกษมกล่าวด้วยว่า เมื่อปี 2556 มีงานวิจัยพูดถึงพฤติกรรมคอร์รัปชันโดยเฉพาะผู้ใหญ่ พบว่าไปเลี้ยงดูกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ลัดคิว ให้สินบนเจ้าหน้าที่ต่อเจ้าหน้าที่ทำงานส่วนราชการ พนักงานบริษัท ทั้งออกไปทำธุระส่วนตัวไม่ขออนุญาต ยักยอกทรัพย์สินทางราชการและสำนักงาน ทุจริตสอบเลื่อนตำแหน่ง เมื่อไม่กี่ปีมานี้พฤติกรรมคอร์รัปชันมันลามไปทั่ว ถ้าเป็นปลวกกินบ้านคงกินทั้งหลังไปแล้ว คนที่อยู่ในบ้านต้องระวัง บ้านจะล้มโครมลงไปง่ายๆ คิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ เป็นปัญหาที่รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นห่วงมา 100 กว่าปีก่อนในระบบบริโภคนิยม วัตถุนิยม เป็นปัญหาเร่งด่วนจากที่มีการมองปัญหามาในช่วงปี 2555-2556 ปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ถึงวันนี้เราก็ยังพูดกัน เป็นปัญหาหลักของรัฐบาลที่พยายามแก้ไข ส่วนปัญหากระบวนการยุติธรรม ถ้าบ้านเมืองใดกระบวนการยุติธรรมทำอย่างตรงไปตรงมาและเที่ยงธรรม เป็นที่พึ่งของคนทุกชั้น คนจะโกงน้อยลง มีคนถามว่า “หิริโอตตัปปะ” จะฝึกกันอย่างไร “หิริ” คือความอายต่อบาป ต้องอาศัยพ่อแม่ ครู อาจารย์ ช่วยสั่งสอนอะไรดีอะไรชั่ว แต่ “โอตตัปปะ” ไม่สำเร็จถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่เที่ยงธรรม สังคมจะไม่เกิดโอตตัปปะ คือกลัวที่จะทำผิดทำชั่ว ถ้าปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้ สังคมจะสงบสุขขึ้นอีกเยอะ

นพ.เกษมกล่าวต่อว่า ยังจำกันได้หรือไม่ปี 2555-2556 บ้านเมืองเราทะเลาะเบาะแว้งกัน แบ่งพรรคแบ่งสีแบ่งพวก เผาบ้านเผาเมือง ดังนั้นต้องสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น ตนฝันว่าคนไทยเป็นคนดีอย่างไร ประเทศไทยเป็นเรื่องประหลาดเลือกยึดหลักซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มีน้ำใจ ถ้าทำได้แบบนี้อีก 10 ปี ทำโพลใหม่การคอร์รัปชันไม่มีแล้ว

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเฝ้ามองบ้านเมืองมาตลอด 70 ปี ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ทรงดูแลราษฎรทุกหมู่เหล่า สิ่งหนึ่งที่เป็นคุณูปการอีกมหาศาลให้กับบ้านเมือง คือ ทรงสอนให้พวกเราเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง เตือนสติ และมีหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เพื่อความยั่งยืน ดังนั้น ขอให้พวกเราสร้างคนดีให้แก่บ้านเมืองและให้ถือเป็นหน้าที่ ให้ข้าราชการถือเป็นหน้าที่สร้างคนดีประเทศไทยจะเข้มแข็ง จะเดินไปได้ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้อย่างไม่ยาก ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นพ.เกษมกล่าว

ส่วน พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ นายกสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ในฐานะอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการและจำเป็นต้องมีขึ้นตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน พระมหากษัตริย์เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในทุกด้าน แต่ในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีการแบ่งอำนาจให้ฝ่ายตุลาการ บริหาร นิติบัญญัติไปรับผิดชอบ หวังว่าต่างชาติจะเข้าใจบริบทตรงนี้ และที่ผ่านมาสมัยที่ตนยังรับราชการเมื่อเกิดเหตุอะไร ตอนไปอธิบายต่างชาติเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เขาก็มีความเชื่อมั่นเพราะประเทศเรามีประมุข คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีเหตุการณ์อะไรในประเทศ พระองค์ท่านก็ลงมาห้ามศึกเอง ทั้งที่ไม่ทำก็ได้ แต่ที่ทำเพราะเป็นห่วงประชาชน

ด้านนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ สื่อมวลชนอาวุโสด้านความมั่นคง กล่าวว่า จากการติดตามการรายงานข่าวของสื่อต่างชาติในช่วงความขัดแย้งทางการเมือง มักมีความเชื่อมโยงว่ามีสถาบันฯ มาเกี่ยวข้อง ทั้งที่ไม่อธิบายความเป็นมาและไม่มีบุคคลอ้างอิง จึงอยากให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องรีบทำการชี้แจงหากมีการนำเสนอข่าวลักษณะนั้นออกไป

ขณะที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องทางการเมืองว่าจ้างให้ทำข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันฯ เพราะเงินทองไม่เข้าใครออกใคร ส่วนที่บางคนพยายามยกมาตรา 112 มาโจมตีทางการเมืองนั้น ไม่อยากให้ยกมาพูดกันมากเพราะไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาพูดผ่านสื่อบ่อยๆ และมองว่าสีเสื้อมีไว้สำหรับแข่งกีฬา ไม่มีประเทศใดนำสีเสื้อมาแบ่งแยกผู้คนในชาติ




กำลังโหลดความคิดเห็น