นายกรัฐมนตรี เดี่ยวไมโครโฟนงานบางกอกโพสต์ เกือบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ยันรับฟังข้อเสนอจากทุกฝ่าย ย้ำ รัฐทำ 3 อย่างเตรียมชาติสู่ความเข้มแข็ง แก้เชิงรุก ถ้าเดินได้ตามแผนประเทศไม่ล้ม พร้อมจัดเลือกตั้งปลายปีหน้า อยู่จนถึงมีรัฐบาลใหม่ ระบุ ไม่ใช่เวลาตอบนั่งนายกฯ อีกหรือไม่ ชี้ พวกเดือดร้อน กม. พิเศษ เพราะฝ่าฝืนหวังจะฟ้องโลก บอกจัดการน้ำต้องไปแล้งหรือท่วมเกินไป จ่อขยายเมืองไปรอบนอก สั่งลูกน้องห้ามเปิดหวอ
วันนี้ (28 ก.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เมื่อเวลา 15.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวสุนทรพจน์ในงาน “บางกอกโพสต์ ฟอรัม 2016” ซึ่งเป็นงานสัมมนาประจำปีของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ในหัวข้อ “เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม” ตอนหนึ่งว่า ขอบคุณที่เจ้าของงาน อวยพรให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่ขอให้เอาไว้ก่อน เอาวันนี้ให้ดีก่อนดีกว่า เพราะถ้าพูดว่าให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ พรุ่งนี้ก็คงโดนถล่มอีก สื่อถือว่ามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสร้างรากฐานการเป็นประชาธิปไตย ที่ผ่านมา ตนรับฟังและรับทราบข้อมูลจากสื่อมวลชนมากพอสมควร และรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำ และที่เห็นว่าตนมีหน้าตาหงุดหงิดทั้งวัน เพราะปัญหาที่ต้องแก้ไขมีมาก งานต้องเดินหน้า ความขัดแย้ง การคัดค้านก็ยังมีอยู่ ซึ่งตนเป็นคนที่รังเกียจคนไม่ดี ส่งผลให้มีอารมณ์ปั่นป่วนพอสมควร บทบาทของสื่อมวลชนที่น่ายกย่อง คือ สร้างสรรค์ มีจินตนาการ มุ่งหวังที่จะให้ประเทศเจริญก้าวหน้า นำประโยชน์มาสู่ประเทศ และประชาชน
“วันนี้รัฐบาลเข้ามาดูแลคน 70 ล้านคน ผมไม่ได้เข้ามาดูแลคน 10 กว่าล้าน อย่างที่เคยผ่านมา ปัญหาที่ผ่านมา ทุกคนทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นทศวรรษที่ขาดหายไป เหมือนเมืองไทยขาดศักยภาพที่ควรจะเป็นไป 10 กว่าปี ถึงวันนี้เป็นช่วงระยะเวลาการปฏิรูประยะที่ 1 ซึ่งเดินมากว่าครึ่งทางแล้ว ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2559 ขณะนี้เราทำงาน 3 อย่างควบคู่กันไป คือ การแก้ปัญหา การเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดิน และปรับโครงสร้างวิธีการทำงาน โดยบูรณาการใหม่ทั้งหมด เพื่อเตรียมการไปสู่ความเข้มแข็ง เพื่อให้ประเทศไทย สามารถยืนอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในเวทีโลก ถือเป็นภาระที่ผมต้องแบกออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอก ซึ่งวันนี้ผมมีความมั่นใจ เพราะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่เป็นกำลังใจให้ผมมีแรงที่จะทำงานต่อไป ยืนยันว่า ไม่หมดกำลังใจ ไม่ท้อแท้ แม้บางครั้งจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสบ้าง แต่ผมก็ต้องทำแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตามเพราะนี้คือแผ่นดินของผม แผ่นดินของคนไทยทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ต้องมาทำความเข้าใจกันว่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ และจะเข้าสู่การเลือกตั้ง ตามโรดแมปของตนในปี 2560 เราได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่วางไว้ โดยเฉพาะการเร่งเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ ซึ่งทุกประเทศผ่านการปฏิรูปมาแล้วทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะทำสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องของการทำใหม่คิดใหม่ อะไรไม่ดีก็ต้องปรับปรุง อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ ต้องแก้ปัญหาที่ทับซ้อนอยู่ข้างล่าง สิ่งสำคัญคือ ทุกคนจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่าน หลายประเทศที่ไม่สำเร็จ เพราะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แม้แต่ระบบข้าราชการก็ต้องปรับปรุง เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาในบทบาทเชิงรุก ข้าราชการเองก็ต้องปรับหรือปฏิรูปตัวเอง แต่ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้จำกัดความคิด ตนเข้ามาแก้ปัญหาในเชิงรุกมากกว่าการตั้งรับ ถ้าผู้นำประเทศชั่วคราวอย่างตน ไม่ลงไปในรายละเอียดบางเรื่องก็คงไม่ทันที่จะแก้ไขปัญหา ผู้นำและนักการเมืองทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง มองประเทศชาติเป็นหลัก นโยบายต่าง ๆ ที่ออกมาจะต้องสอดคล้องกับประเทศว่าต้องการอะไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา นโยบายต่าง ๆ ไม่ได้นำสู่การปฏิบัติได้มากนัก เพราะประเทศเดินหน้าด้วยการเมือง ทำให้ทุกอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าเราสามารถตีกรอบได้อย่างน้อยก็จะสามารถเดินหน้าในระยะยาว 20 ปี ได้ ที่ผ่านมา ปัญหามีความทับซ้อน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เกิดทุจริตคอร์รัปชัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการวิจัยทำได้น้อย ขาดความต่อเนื่อง เศรษฐกิจรุมเร้า ปัญหาการใช้กฎหมายทำได้ไม่เต็มที่ ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และคนขาดความเข้าใจความเป็นประเทศไทย อดีตแก้ไขไม่ได้แล้วจึงต้องมาพูดถึงอนาคต และความร่วมมือ รัฐบาลนี้เข้ามายึดถือประโยชน์ของคนในชาติเป็นหลัก ใช้ประชาชนเป็นที่ตั้ง พร้อมดูแลผลประโยชน์ต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยด้วย แล้วตั้งแต่ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ตนยังไม่เคยไปละเมิด และก้าวล่วงอะไรใคร ยอมรับว่า สิ่งที่ทำทุกวันนี้ยากที่จะสร้างความเข้าใจ เพราะที่มาของตนเป็นแบบนี้ ซึ่งก็ไม่มีวิธีการอื่นที่ขับเคลื่อนประเทศในช่วงที่ผ่านมาได้เลย แม้ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญในแบบของเรา คือประชาธิปไตยที่เป็นสากล มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ระบบสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นความแตกต่าง
“อย่ามาบอกว่าทำไมผมไม่ทำเหมือนประเทศอื่น หรือไม่เป็นสากล และเป็นเสรีอย่างเต็มที่ ต้องถามว่าวันนี้เราพร้อมหรือยัง ผมเองมีเวลาเท่านี้ที่จะทำให้ประเทศเกิดความพร้อมในทุกระดับชั้น รัฐบาลมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่เป็นสากลอย่างสมบูรณ์ จึงต้องทำให้คนเรียนรู้ ใช้เวลากับรัฐบาลชุดนี้เพื่อเปลี่ยนผ่านทุกอย่าง การปฏิรูปต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน แต่ถ้ายังย้อนกลับไปที่เดิม นำปัญหาเดิม ๆ มาเป็นตัวตั้งก็คงปฏิรูปไม่ได้ ประเทศไทยยังคงติดกับปัญหาอยู่ที่เดิม นั่นคือ ความขัดแย้งซึ่งเราจะปล่อยให้มีอีกไม่ได้ ถ้าทุกคนอยากเห็นประเทศเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง บ้านเมืองสงบสุข การเมืองมีเสถียรภาพ นักการเมืองมีธรรมาภิบาล สังคมมีกฎกติกา มีความสามัคคีปรองดองก็ต้องช่วยกัน ซึ่งวันนี้ถือว่าปรองดองได้มากพอสมควร ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นจากประชาชน ยิ้มได้แม้ภัยมาเราจึงจำเป็นต้องอดทนไม่มีอะไรที่จะสามารถแก้ปัญหาเมื่อ 10 ปี ได้ภายใน 2 ปี เราต้องค่อย ๆ ใช้เวลา เพราะเรายังไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการเดินหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงถ้าวันนี้เรามีนักการเมืองที่มีธรรมาภิบาล มีความสามัคคีปรองดอง เศรษฐกิจก็จะเจริญเติบโต และกระจายไปสู่ทุกภูมิภาค” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เราต้องพิจารณาว่าอะไร คือ เป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูป ก็คือ ความสงบสุข ความก้าวหน้า ความเจริญของประเทศ หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เป็นรายได้สูง ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งต้องใช้เวลาเร่งระดมกำลังทั้งหมด ฉะนั้นต้องหาตัวเองให้เจอ ว่า ประเทศจะเดินไปอย่างไร ตามโร้ดแม็ปของการทำงาน การทำงานถ้าไม่มีแผนก็จะสะเปะสะปะ ยิ่งเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งตามกลไกการเมือง หรือทางประชาธิปไตยอะไรก็แล้วแต่ ทำให้แผนงานไม่ต่อเนื่อง เริ่มใหม่และล้มอยู่แบบนี้ ดังนั้นต้องมียุทธศาสตร์ชาติที่เข้มแข็ง ถ้าเดินได้ตามแผนที่วางไว้ประเทศชาติจะเดินได้แน่นอนอย่างไม่ล้ม นักการเมืองที่เข้ามาก็ทำตามนโยบายตัวเองส่วนหนึ่ง แต่อะไรก็ตามที่เป็นปัญหาไม่ใช่ว่าตนไปขุดมา แต่เป็นปัญหาที่มีมาตลอดของฝ่ายกฎหมาย หากรัฐบาลไม่เอาใจใส่ละเลยก็จะเป็นอยู่แบบนี้
“กลไกกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย กฎหมายอยู่แล้วผิดถูกไปว่ากัน ไม่ใช่มาตอบโต้ทางสื่อทุกวัน สิ่งที่ผมกำลังแก้ปัญหาอยู่นี้ ผมต้องการสร้างความเข้าใจกับสื่อ เพื่อให้เป็นปาก เป็นหู แทนผม อะไรที่ไม่ชอบผมก็ฟัง แต่ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกันเลย แล้วเขียนพูด ออกไปแบบคิดเอาเอง อย่างนี้ไม่ได้ ทุกคนต้องปรับตัว ผมไม่ได้ว่าสื่อ แต่ทุกคนต้องปรับตัว เพราะสื่อมีความสำคัญต่อการปฏิรูป เป็นปากเสียงของประเทศ สิ่งที่เขียน พูด วิจารณ์ ไปถึงต่างประเทศทั้งหมด เพราะโลกไร้พรมแดน” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลครบ 2 ปี เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยรัฐบาลชุดแรกหลายคนเคยมานั่งที่นี่ ซึ่งตนเคารพให้เกียรติเสมอมา ไม่ใช่ว่ามีใครบกพร่อง แต่เป็นไปตามกลไก การปรับเปลี่ยนครม.มันมีระยะเวลา แต่ละท่านที่แก้ในช่วงแรกจะหนัก ช่วงที่สองเอาอีกกลุ่มมาทำตามเวลาที่มีอยู่ วันนี้หลายท่านเริ่มเจ็บป่วย เริ่มเหนื่อย แต่ตนเหนื่อยไม่ได้ ต้องเผชิญหน้าทุกอย่าง เพราะเข้ามาแล้วทิ้งไม่ได้ รัฐบาลจะยังอยู่ต่อไปถึงปลายปีหน้า ก็จะจัดการเลือกตั้ง นี่คือ โรดแมป ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะใครยาหอมแค่ไหนก็ตามก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ จัดเลือกตั้งปลายปี 2560 ส่วนเมื่อจัดเลือกตั้งแล้วจะใช้เวลาเท่าไร รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลเท่าไรไปว่ากันมา ทำไมจะต้องเอาวันที่นักหนา วันนี้มันกำหนดได้ไหม ต้องไปดูที่ขั้นตอนกฎหมาย
“ไม่ใช่ผมอยากจะอยู่ในสภาพแบบนี้ เราต้องดูและเร่งดำเนินการในสิ่งที่ค้างอยู่ โดยต้องเริ่มต้นให้ได้ ถ้าไม่เริ่มของใหม่วางรากฐานไว้ก็จะกลับไปที่เดิม ๆ นี่คือ โลกปัจจุบันทางโลกทางธรรมเป็นแบบนี้ ทุกอย่างจะเวียนว่ายไปที่เก่า ฉะนั้น ขณะนี้ยังคงอยู่อีกประมาณ 1 ปี อยู่ในช่วงทำบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญใหม่ จนถึงการเลือกตั้ง ออกกฎหมายลูก กฎหมายหลาน” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ก่อนที่มาได้ฟังแถลงของ กรธ. กับพรรคการเมือง ฟังแล้วก็เหนื่อยทุกคนมุ่งในเรื่องกระบวนการ แต่ยังไม่เห็นใครพูดจะทำให้ประชาชนอย่างไร ทะเลาะกันอยู่ทุกวัน ในเรื่องกลไกการเลือกตั้ง การเข้าสู่อำนาจ ที่ผ่านมา เมือมันไม่ดีก็ต้องแก้ ตนเข้ามาต้องทำกติกาใหม่ คนที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ต้องปฏิบัติตามกติกา วันนี้ตนรับปัญหาทั้งสองด้าน ถ้ามากเกินไป นักการเมืองก็เดือดร้อน น้อยเกินไปนักการเมืองก็กลับไปทำแบบเก่า ตนต้องชั่งน้ำหนักให้สมดุล และในช่วงที่สองของโร้ดแม็ปต้องจัดทำแผนที่นำทางสู่วิสัยทัศน์ประเทศใน 20 ปีข้างหน้า พ้นกับดักรายได้ปานกลางไปสู่รายได้สูงภายในปี พ.ศ. 2579 หากนักการเมืองที่เข้ามาไม่ขัดแย้งกันก็จะเร็วกว่านี้ เปลี่ยนจากประเทศผู้รับเป็นผู้ให้อย่างเดียว ส่วนกฎหมายพิเศษที่มีตนใช้เฉพาะเรื่องความมั่นคง จะมีคนเดือดร้อนไม่กี่คนเป็นพวกฝ่าฝืน หลีกเลี่ยง แล้วโยนว่ารัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชน ถามว่าถ้าตนละเมิดขนาดนั้น คนในประเทศจะให้ยืนอยู่ถึงวันนี้ไหม หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ ตนให้อภัยมาโดยตลอด แต่เขาพยายามจะให้ถูกดำเนินคดีให้ได้ เพื่อที่จะฟ้องชาวโลก นั่นคือนโยบายที่ฝ่ายนั้นเขาทำอยู่วันนี้
นายกฯ กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจวันนี้ตนเข้ามาก็ไม่อยากจะแก้ตัวว่าบริหารประเทศในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เพราะนักการเมืองหลายคน รวมทั้งอดีตรัฐบาลก็พูดเสมอว่ารัฐบาลนี้ทำไม่เป็น ทำไม่เก่ง ไม่รู้เรื่อง ตนว่าตนรู้มากกว่าพวกท่าน เพราะมีพวกพี่ ๆ ช่วย ตนแค่ทำให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบ ตนอ่าน และเรียนรู้เป็น ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าต้องเอามาแปลสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่แค่พูด ถามว่าที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจดีหรือไม่ มันดีแค่หลวม ๆ เพราะภาคธุรกิจเอกชนเขาเข้มแข็งด้วยตัวเขาเอง ตนเจอเขาบอกที่ผ่านมาไม่เคยช่วยเลย เขาดูแลตัวเองมาตลอด มีแต่รัฐบาลนี้ที่เข้าไปดูแลเอาใจใส่ในทุกภาคส่วน ไปรับฟังความคิดเห็น และเอามาปรับแก้ วันนี้อะไรหลายอย่างก็ได้มาจากภาคธุรกิจ ทั้งการค้า ทางกฎหมายเขามาบอกหมด อันไหนทำได้เราก็ทำ
นายกฯ กล่าวถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ ำว่า เขื่อนที่เรามีนั้นสร้างมานานแล้ว เขื่อนใหม่เราก็ยังไม่มี แต่ตนไม่ได้บอกว่าจะสร้างเขื่อนใหม่เดี๋ยวจะเป็นปัญหาแต่เราต้องยอมรับว่าถ้าไม่ทำะไรเลยจะต้องมีปัญหาในอนาคตแน่นอน เพราะประเทศไทยใช้น้ำจากน้ำในเป็นหลัก ถ้าฝนตกน้อยก็กักเก็บไม่ได้ และเขื่อนที่เรามีก็อยู่ตอนเหนือของประเทศทั้งสิ้น แต่ในวันนี้สภาวะอากาศโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง ฝนเริ่มตกตอนใต้ของเขื่อนขึ้นมาเรื่อย ๆ และในวันหน้าพื้นที่ตอนเหนือขึ้นไปน้ำจะไม่มี ฝนจะไม่ตกพอมาตกข้างล่างพื้นที่ข้างล่างก็จะน้ำท่วมและเก็บกักน้ำไม่ได้เพราะทุกคนต้องระบายออก ซึ่งเราต้องมาคิดแก้ไขกันทั้งระบบ การบริหารจัดการน้ำ 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ง่ายต้องทำให้ไม่แล้งจนเกินไป และไม่ท่วมจนเกินไป แต่จะไม่ท่วมเลยเป็นไปไม่ได้ เพราะการบริหารจัดการน้ำยังไม่สมบูรณ์ จริง ๆ เราก็รู้ไม่ต้องไปถามใครว่าบ้านเราเรื่องน้ำเป็นอย่างไร ปัญหาคือทุกคนต้องกลับมามีน้ำใจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องเร่งทำรถไฟความเร็วสูง ก็เพราะผ่านมา 2 ปีแล้วยังทำไม่ได้เลย เนื่องจากต้องหารือกันหลายฝ่าย ต่างคนต่างพูดกันคนละภาษาและเราก็ไม่ได้มอบสัมปทานไปทั้งหมด ความยากอยู่ตรงนี้ ขณะเดียวกัน เขาก็ช่วยเหลือเรา และสัญญาของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน การกู้เงินไม่ได้ทำได้ทันทีทุกอย่างมีความเสี่ยงที่อาจจะมีปัญหาในอนาคตได้ ส่วนเรื่องรถไฟสายสีม่วงก็ด่าตนกันทุกวัน แต่เขาทำมานานแล้วแต่มาเสร็จตอนรัฐบาลตนพอดี ซึ่งไม่ได้ต่อในช่วงเชื่อมต่อ 1 กิโลเมตร พอเราพยายามทำก็ติดที่กฎหมาย อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่อยากใช้มาตรา 44 เพราะเป็นเรื่องเศรษฐกิจการลงทุนอาจจะมีปัญหาความเชื่อมั่นกับภายนอกได้
“เราต้องขยายเมืองรอบนอกออกไป อย่าให้ต้องชุลมุนแบบนี้ เพราะมีทั้งการจราจรติดขัด น้ำท่วม วันนี้รถติดเป็นชั่วโมง ๆ ตนเห็นใจแม้ว่าตนจะมีรถนำขบวน บอกลูกน้องว่าถ้าไม่ได้รีบร้อนจะไปตายที่ไหนก็ไม่ต้องเร่ง บางทีได้ยินเสียงหวอก็นึกว่ารถพยาบาลที่ไหนพอหันกลับไปก็เป็นรถนำขบวนผมเองนี่หว่า ผมไม่ได้ให้ใครเปิดหวอ ถ้าเปิดหวอผมจะขัง ยกเว้นถ้ามีงานด่วนหรืองานรับเสด็จฯ แต่ผมก็บอกว่าอย่าไปทำร้ายคนเขาเพราะทุกคน คือ เจ้านายของผม ข้าราชการคือผู้รับใช้ประชาชน รัฐบาลก็อาสามาดูแลประชาชน สมัครใจกันเข้ามาไม่มีใครบังคับทั้งนั้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ใช้เวลาปาฐกถากว่า 2 ชั่วโมง 20 นาที โดยในช่วงท้ายได้เปิดโอกาสให้มีการซักถาม โดยเมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะตอบ เพราะจะกลายเป็นว่าอยากเป็นแล้วไม่ได้เป็นหรือไม่อยากเป็นแต่ได้เป็น เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ตนไม่เข้าใจทำไมถึงอยากเป็นนายกฯ และรัฐมนตรี กันนัก ยืนยันว่าตนจะอยู่จนถึงมีรัฐบาลใหม่ มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อถึงวันนั้นตนจะไปทันที แต่อย่าลืมว่าแม้ตนจะไปแล้วก็ยังมีคำสั่งตามมาตรา 44 ร้อยกว่าฉบับที่ยังคงอยู่ อีกทั้งยังมีแนวทางปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรให้รัฐบาลต่อไปทำตามโรดแม็พ และหากไม่ตามแล้วจะทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมายลูก ที่บัญญัติไว้ รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย