เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดก็มีการลงนามในคำสั่งบังคับทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำผิดกรณีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่ไม่เกิดขึ้นจริง หรือที่เรียกว่า “จีทูจีเก๊” โดย เป็นการลงนามโดย อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามแทนนายกรัฐมนตรี และชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ที่ลงนามแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดย อภิรดี เปิดเผยว่าได้ลงนามในคำสั่งทางปกครองดังกล่าวเมื่อตอนเช้าวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา
สำหรับคำสั่งทางปกครองบังคับให้ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับพวกรวม 6 คนชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งจำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยนอกเหนือจากนักการเมืองสองคนดังกล่าวแล้วยังมีอดีตนักการเมืองและข้าราชการกระทรวงพาณิชย์อีก 4 คน คือ พต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ ทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ
ส่วนขั้นตอนดำเนินการได้รับการเปิดเผยจาก อภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่าหลังจากนี้จะมีการส่งหนังสือไปยังนักการเมืองและข้าราชการทั้ง 6 คนดังกล่าว โดยจะมีระยะเวลาในการตอบกลับมาภายใน 30 วัน หากครบกำหนด 30 วันแล้วยังไม่มีการตอบกลับมาก็จะส่งหนังสือแจ้งเตือนไปอีกรอบใน 15 วัน หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่การบังคับคดีต่อไป
แม้ว่าในทางกฎหมายจะมีขั้นตอนอีกยาวนานกว่าจะไปถึงขั้นตอนยึดทรัพย์ได้จริง เนื่องจากเชื่อว่าจะต้องมีการอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลปกครอง หรือร้องขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวและขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการในศาลปกครองซึ่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ และเท่าที่ทราบ บุญทรง เตริยาภิรมย์ได้เริ่มขยับตัวต่อสู้ในศาลปกครองและยื้อคดีในกระบวนการการยึดทรัพย์อย่างเต็มที่แล้ว
อย่างไรก็ดี หากโฟกัสเฉพาะกรณีของ บุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกก่อน จะเห็นว่ากระบวนการเริ่มเดินหน้าอีกครั้งสำหรับการชดใช้ค่าเสียหาย หลังจากก่อนหน้านี้มีการชะลอการลงนามในคำสั่งทางปกครองของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดย อภิรดี ตันตราภรณ์ยังไม่ยอมลงนาม โดยอ้างว่าต้องรอตรวจสอบให้รอบคอบ เพราะมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก และเป็นเรื่องใหม่ไม่เคยปรากฏแบบนี้มาก่อน และที่สำคัญมีกระบวนการข่มขู่คุกคามทุกทางและแรงขึ้นเรื่อยๆจากฝ่ายจำเลยผู้กระทำผิด
มีการดาหน้าออกมาจากทางฝ่ายเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในพรรคเพื่อไทย พวก นปช.ขู่กับถึงขั้นที่ว่าหากกลับมามีอำนาจอีกครั้งจะเช็กบิล และไม่ให้อยู่เป็นสุขอะไรทำนองนั้น แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องละล้าละลัง จะหันไปทางซ้ายก็โดน ไปทางขวาก็โดน
แต่เมื่อเรื่องทำท่าจะหยุดชะงักก็มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 56/59 ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 “เรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด” ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว อ่านเนื้อหารายละเอียดอาจจะงงเข้าใจยาก แต่ถ้าให้สรุปก็คือ คำสั่งดังกล่าวให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการโดยสุจริตไม่ต้องรับโทษทั้งแพ่ง วินัย และอาญา และให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์บุคคลที่กระทำความผิดและมีคำสั่งทางปกครองและคำพิพากษาออกมาแล้ว
อาจเป็นเพราะคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับดังกล่าวนี้หรือเปล่าที่ทำให้เจ้าหน้าที่มีความมั่นใจ เนื่องจากได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ป้องกันการถูกฟ้องร้องในอนาคต
ขณะเดียวกัน ความหมายก็คือกระบวนการในทางคดีทางแพ่งเริ่มเดินหน้าเต็มกำลังตามขั้นตอนแล้ว แม้ว่ายังต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะต้องมีการโต้แย้งคัดค้านจากฝ่ายจำเลย ต้องเข้าสู่กระบวนการในศาลปกครอง แต่อย่างน้อยการลงนามทางปกครองครั้งนี้จะทำให้คดีนี้ไม่หมดอายุความไปเสียก่อน นั่นคือภายในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560
กรณีการลงนามในทางปกครองดังกล่าวนอกจากสั่นสะเทือนกับ บุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกแล้ว ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากโครงการรับจำนำข้าวโดยปล่อยปละละเลยจนเกิดการทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก กำลังจะโดนคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายตามมา คาดว่าในเวลานี้กำลังรอคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายที่มี มนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานสรุปตัวเลข ซึ่งยืนยันว่าจะสรุปตัวเลขให้ได้ก่อนที่เขาจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้
และแม้ว่าจะมีความพยายามจากฝ่ายสนับสนุนของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะพยายามยื้อโดยอ้างว่าต้องรอให้คดีอาญาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเสร็จสิ้นก่อน เพราะหากมีการออกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายจะเป็นการไม่เป็นธรรมและชี้นำศาล นั่นคือมีเจตนาไม่สุจริตอะไรประมาณนั้น อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งการลงนามคำสั่งทางปกครองอาจเป็นการป้องกันคดีหมดอายุคความในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ความหมายก็คือเป็นการลงนามในคำสั่งให้ชดใช้เอาไว้ก่อน เพราะตามขั้นตอนต้องใช้เวลาอีกยาวนานดังกล่าวข้างต้น
ดังนั้น เมื่อมีการลงนามในคำสั่งทางปกครองกับบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก ให้ชดใช้ค่าเสียหาย ย่อมสั่นสะเทือนต่อเนื่องไปถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างรุนแรง เพราะนาทีนี้ถือว่าสาหัสเพราะเสี่ยงทั้งคุกและเสี่ยงต่อการถูกยึดทรัพย์ตามมา และถือว่าเริ่มนับถอยหลังอย่างแท้จริงแล้ว!