xs
xsm
sm
md
lg

เสี้ยม “ประยุทธ์-ประวิตร” แตกคอ เป้าหมายแค่เขย่าให้สั่นสะเทือน !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา



หากจะพูดว่าตื้นเกินไปก็มองได้ หรือจะมองแบบ “ร้ายกาจ” ก็ได้เหมือนกันสำหรับคำพูดของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล จากพรรคเพื่อไทย ที่พูดลอยลมออกมาเมื่อสองสามวันก่อนเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เปิดโอกาสให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงฝีมือเป็นนายกฯแก้ปัญหาเศรษฐกิจดูบ้าง หลังจากอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความล้มเหลว

เพราะมองออกได้ทันทีว่า นี่คือ “การเสี้ยม” ที่ลงทุนน้อย แต่อาจได้ผลเกินคุ้ม เพราะจะว่าไปแล้วคำพูดดังกล่าวของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นั้น หากพูดแบบตรงไปตรงมา มันก็เหมือนกันประเมินจากความรู้สึกของสังคม โดยเฉพาะมีชาวบ้านไม่น้อยที่มอง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วยความหวาดระแวงยังไม่มั่นแบบเต็มร้อย หากเปรียบเทียบความเชื่อมั่นที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็ต้องพูดแบบตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ติดตามสถานการณ์การเมืองเขามองเห็นแบบนี้จริง ส่วนความจริง หรือความคิดในใจของ พล.อ.ประวิตร จะเป็นแบบไหน มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

ซึ่ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ก็มองเห็นความรู้สึกแบบนี้ จึงนำไปพูด “เสี้ยม” เพื่อหวังผลทางการเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ก่อนที่จะมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงไม่กี่วัน

แม้ว่าจะไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ แต่ความหมายก็คือ เพื่อลุ้นให้ชาวบ้านได้คิดถึงผลกระทบในภายหน้า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติแล้วมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะมองในเชิงซ้อนของ “บทเฉพาะกาล” เวลา 5 ปี ที่เปิดทางให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แต่งตั้ง ส.ว. จำนวน 250 คน และในจำนวนนั้นยังสงวนตามตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ และ ตำรวจ เอาไว้อีก ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมคำถามพ่วงให้ ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกฯคนนอกได้อีกด้วย ซึ่งนี่แหละเป็น “สองเด้ง” ที่สำคัญที่สุด เป็น “หัวใจของอำนาจอนาคต” ที่สังคมต้องรับรู้เอาไว้ล่วงหน้า

อย่างไรก็ดี ก็ต้องพักการประเมินในภาพรวมของรัฐธรรมนูญเอาไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะยาวไปไกล แต่มาเน้นที่สาเหตุที่ทำให้ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นำมาเป็นคำพูดเพื่อ “เสี้ยม” สองบิ๊ก คสช. คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็พอคาดเดาว่า เป้าหมายจากคำพูดดังกล่าว หากเป็นไปได้ก็ต้องหลังจากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้วบังคับใช้ คงไม่ใช่ในช่วงรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หรือเปลี่ยนนายกฯกันในช่วงนี้แน่นอน เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ เป็นเรื่องตลก

ที่บอกเป็นเรื่องที่ต้องการยุให้ชาวบ้านมองไปข้างหน้าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ซึ่งเน้นเฉพาะประเด็น ส.ว. แต่งตั้งจำนวน 250 คน จากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำให้คนได้คิดว่าในจำนวนนั้นจะมีคนของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถูกล็อกเข้ามาจำนวนกี่คน และคนพวกนี้จะโหวตเลือกใครมาเป็น “นายกฯคนนอก” แม้ไม่ได้บอก แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้คนคิดย้อนกลับมาถึงปัจจุบัน ว่า เวลานี้เครือข่ายคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประวิตร มีอยู่จริงหรือไม่ หรือมีอยู่ทุกวงการหรือไม่ โดยเฉพาะเครือข่ายอำนาจทั้งในกองทัพ ตำรวจ วงการข้าราชการ หรือแม้แต่ในวงการพรรคการเมือง ก็มีเสียงนินทา ว่า มีการ “จับมือ” กันไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย เรียกว่า นาทีนี้ “พี่ใหญ่” คนนี้คุมเบ็ดเสร็จแล้วก็ว่าได้ จนหลายคนมีความสงสัยว่าระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใครกันแน่ที่ “มีอำนาจแท้จริง” หรือใครเป็น “เบอร์หนึ่ง”

นั่นเป็นสายการอำนาจที่สะสมเครือข่าย แต่ขณะเดียวกัน ในทางสังคมจากภายนอกก็ต้องยอมรับความจริงแบบที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ความศรัทธาเชื่อมั่นจากประชาชนเวลานี้ และในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กินขาดแบบไม่ต้องลุ้น ซึ่งเชื่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เข้าใจดี ถึงได้พูดย้ำอยู่ตลอดเวลา ต้องการเข้ามาช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น เป็นการมาแบ่งเบาภาระ หากเป็นคนอื่นก็จะไม่เข้ามาให้เหนื่อย เพราะตัวเองอายุมากแล้ว อะไรประมาณนี้ พูดแบบ “เดินตามหลัง” ตลอด

คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ก็อธิบายแบบเดิมว่า “เป็นความพยายามของเขา (สุรพงษ์) ใครพูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบ แต่ยืนยันว่า ผมกับท่านนายกฯไม่ได้มีปัญหาอะไร อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก คุยกันทุกวันและไม่ทราบว่า เขา (สุรพงษ์) มีแผนหรือต้องการอะไร แต่เป็นการคิดไปเอง อยากคิดก็คิดไป ผมมองว่าตัวเองไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ มีความเหมาะสมกว่า และยืนยันว่า ผมจะไม่เป็นนายกฯ ผมมีหน้าที่ช่วยเหลือนายกฯ หากนายกฯไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ ผมก็จะไม่ทำ”

เป็นคำพูดที่เน้นย้ำกลับไปแบบรู้ทัน เป็นการเคลียร์ให้ชัดในระดับหนึ่ง ว่า “ไม่เป็นนายกฯ” เพราะไม่มีความสามารถ และที่เป็นอยู่ก็เพียงต้องการช่วยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น หากเป็นคนอื่นก็จะไม่ทำหน้าที่แบบนี้ เป็นความพยายามในการเคลียร์ประเด็น “ความทะเยอทะยาน” ทางการเมือง ที่สังคมไม่น้อยกำลังมองด้วยสายตาหวาดระแวง ซึ่ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล มองเห็นตรงนี้แล้วเอามาเสี้ยม

ดังนั้น ถ้ามองในมุมของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ก็มองออกว่า นี่คือ แผนเสี้ยมแบบลงทุนน้อย แต่อาจฟลุ๊กสร้างแรงสั่นสะเทือน เป็นการกระตุกอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านก่อนถึงวันลงประชามติ 7 สิงหาคม ขณะเดียวกัน ในมุมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้โอกาสเคลียร์ตัวเองไปได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ยืนยันว่า เขา “ไม่เป็นนายกฯ ไม่มีความสามารถพอ และขอช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น” เพียงแต่ไม่ได้ยืนยันว่าถ้ามีเสียงโหวตให้เป็น จะรับหรือไม่เท่านั้นเอง !!
กำลังโหลดความคิดเห็น