xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” แนะเอกชนอินเดีย ใช้ประโยชน์จากนโยบาย Thailand 4.0

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมการสัมมนาทางธุรกิจไทย – อินเดีย
นายกรัฐมนตรีร่วมสัมมนาธุรกิจไทย-อินเดีย เสนอภาคเอกชนอินเดียใช้ประโยชน์จากนโยบาย Thailand 4.0 ผ่านความเชื่อมโยงทางบกและทะเล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 18.45 น.วานนี้ (17 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการสัมมนาทางธุรกิจไทย-อินเดีย และงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่จัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี และสมาคมธุรกิจของอินเดีย 3 สถาบัน ได้แก่ สมาพันธ์สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย (Federation of Indian Chambers of Commerce and Industry - FICCI) สมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย (Confederation of Indian Industry-CII) และสมาคมหอการค้าแห่งอินเดีย (The Associated Chambers of Commerce and Industry of India-ASSOCHAM) ณ ห้อง Kamal Mahal ชั้น G โรงแรม ITC Maurya เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นทางการค้าการลงทุนต่อภาคเอกชนและนักธุรกิจไทยและอินเดีย ที่มาร่วมงานจำนวนกว่า 500 ราย

พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงสาระสำคัญว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง นโยบาย “รุกตะวันออก” (Act East) ของรัฐบาลอินเดียในปัจจุบันว่าสอดรับกับนโยบายมุ่งตะวันตก (Look West) ของรัฐบาลไทย โดยไทยมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเชื่อมโยงไปยังเพื่อนบ้านทางภาคตะวันตกของไทย และให้ความสำคัญกับมิตรประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ ดังจะเห็นได้จากความร่วมมือในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การพัฒนาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ รวมทั้งโครงการถนนสามฝ่ายไทย-พม่า-อินเดีย ซึ่งจะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงและการบูรณาการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้านการค้าทวิภาคี อินเดียเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการตั้งเป้าหมายการค้าทวิภาคีระหว่างกันให้เพิ่มขึ้นทั้งสองทาง โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองประเทศสามารถที่จะร่วมกันขยายการค้าระหว่างกัน โดยเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-อินเดียให้แล้วเสร็จและร่วมมือกันในกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (RCEP) ซึ่งจะเป็นเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ประกอบด้วยประชากรกว่า 3,000 ล้านคน

ด้านการลงทุน เมื่อปีที่แล้ว มีโครงการลงทุนจากอินเดียในประเทศไทยมูลค่าประมาณ 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,284 ล้านบาท) ในทางกลับกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 (ปี 2553) นักลงทุนไทยได้ลงทุนในอินเดียมูลค่ากว่า 245 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรัฐบาลไทยสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยในอินเดียโดยเฉพาะในการพัฒนาโครงการเศรษฐกิจสำคัญของอินเดีย ขณะที่ไทยต้องการเชิญชวนนักธุรกิจอินเดียให้เข้าลงทุนในสาขาการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ซอฟต์แวร์ เคมีภัณฑ์ ยา เครื่องจักร ไบโอเทคโนโลยี พลังงาน และกิจการวิจัยและการพัฒนา

รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนให้มีการลงทุนในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในลักษณะความร่วมมือภาครัฐ-ภาคเอกชน (Public Private Partnership - PPP) หรือการลงทุนระหว่างภาคเอกชน ภาคธุรกิจของอินเดียจึงสามารถพิจารณาใช้ประโยชน์จากการบูรณาการทางเศรษฐกิจของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ASEAN-India Free Trade Agreement - AIFTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนเพื่อขยายไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นทั้งตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน ทำให้โอกาสธุรกิจและการลงทุนยิ่งขยายกว้างขึ้น ในทางเดียวกัน ภาคธุรกิจไทยก็สามารถดำเนินธุรกิจในตลาดอินเดีย รวมทั้งใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจของอินเดียกับประเทศรอบข้างเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจในภูมิภาคใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นเอเชียใต้ ตะวันออกกลางหรือเอเชียกลาง

ประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฏิรูปประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ด้วยการพัฒนาประเทศให้มีความเข้มแข็งจากภายในตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับชาติ พร้อมกับการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง รัฐบาลมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยนโยบาย “ประชารัฐ” หรือการสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกันใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านความยุติธรรม ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และด้านการสร้างวินัยให้คนในชาติ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความโปร่งใส หลักธรรมาภิบาล ขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง ปฏิรูปการเงิน การคลัง ปรับปรุงกฎระเบียบ ขั้นตอน และองค์กรทางเศรษฐกิจของรัฐ การส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ รวมทั้งขับเคลื่อนข้อตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ปัจจุบันรัฐบาลไทยมุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนใน 6 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การส่งเสริมกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของการลงทุน (cluster) ที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่มูลค่า การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศ

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณชุมชนชาวไทยเชื้อสายอินเดียที่มีจำนวนกว่า 250,000 คน ในประเทศไทยซึ่งต่างก็ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขาอาชีพได้มีบทบาทสำคัญและแข็งขันทั้งในทางการเมืองและสังคมของไทย ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมโยงทั้งความสัมพันธ์ระดับประชาชน และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจให้กับไทยและอินเดีย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ขอบคุณภาคเอกชนไทยที่ได้มาบุกเบิกตลาดอินเดียและได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศอีกด้วย

ด้านความความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวไทยจำนวนมากเดินทางไปแสวงบุญในอินเดียเพิ่มขึ้นทุกปี ในการนี้ รัฐบาลไทยจึงสนับสนุนแนวคิดของรัฐบาลอินเดียอย่างเต็มที่ที่จะจัดตั้งเส้นทางแสวงบุญเชิงพระพุทธศาสนา (Buddhist Circuit) ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อสังเวชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในอินเดียและประเทศใกล้เคียงเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในระดับประชาชน และในฐานะที่ประเทศไทยมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ภาคบริการ และการท่องเที่ยว จึงอาจร่วมมือกับฝ่ายอินเดียในข้อริเริ่มดังกล่าว ซึ่งจะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (Win-Win Situation)

รัฐบาลไทยมีนโยบายในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเข้มแข็งเพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมุ่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อก้าวพ้นกับดักของประเทศรายได้ปานกลางและพร้อมเข้าสู่โลกอุตสาหกรรมยุคที่ 4 (Industry 4.0) อย่างยั่งยืนด้วยนโยบาย Thailand 4.0 ด้วยการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (S-curve) ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้วในประเทศ ควบคู่ไปกับรูปแบบของการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curve) ที่เน้นนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนรูปแบบสินค้าและเทคโนโลยี โดยอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมอนาคตเหล่านี้จะเป็นตัวจักรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (New Growth Engines) ของประเทศ ซึ่งการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมจะสามารถเพิ่มรายได้ของประชากร

รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมที่จะดูแลปัญหาของนักลงทุนและภาคเอกชนในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งด้านการค้า การลงทุน การบริการ การให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน และการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (One Stop Service)

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความหวังว่าการลงทุนของนักลงทุนอินเดียในไทยจะเพิ่มมากขึ้น และไทยและอินเดียจะรักษาความสัมพันธ์ในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนและมีบทบาทที่สร้างสรรค์กับอินเดียและมิตรประเทศอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


กำลังโหลดความคิดเห็น