ทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยนำคณะผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนี 6 บริษัทใหญ่ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี หารือเกี่ยวกับความร่วมมือเศรษฐกิจไทย - เยอรมนี
วันนี้ (27 พ.ค.) นายเพเทอร์ พรือเกล (Mr. Peter Prügel) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย นำคณะผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนีในประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือเศรษฐกิจไทย - เยอรมนี และแนวทางการรับมือกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจใหม่ๆ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่ได้พบกับคณะนักธุรกิจเยอรมนีในประเทศไทย จากบริษัทชั้นนำ จำนวน 58 ราย ถือเป็นมิตรสำคัญของไทยและผู้ประกอบการของไทย ทั้งสองประเทศมีการค้าการลงทุนกันมายาวนาน เยอรมนีเป็นคู่ค้าที่มีมูลค่าการค้าอันดับที่ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป มีนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในเยอรมนีหลายราย โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม เครื่องประดับ และห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันมีบริษัทเยอรมนีมากกว่า 600 บริษัทในประเทศไทย จึงหวังว่าภาคเอกชนเยอรมนีจะขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์ภายในประเทศ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไทยยึดมั่นในการดำเนินการตามโร้ดแมป โดยสร้างรากฐานด้วยการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปในระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน โปร่งใส ปราศจากการทุจริต และมีธรรมาภิบาล พร้อมยืนยันว่าไทยยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรี มุ่งส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจของไทย ว่า ไทยต้องการพัฒนาสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล คือ พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตควบคู่กับการส่งออก ด้วยการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs ไทยต้องการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตโดยสร้างมูลค่าจากนวัตกรรม เน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ไทยยินดีสนับสนุนให้เยอรมนีขยายเศรษฐสัมพันธ์กับไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะให้ภาคเอกชนเยอรมันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยใน Super Clusters การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้า และรถไฟเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่อู่ตะเภา เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินและการขนส่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังหวังให้เยอรมนีสนับสนุนการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุน อันเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายด้วย
ด้าน เอกอัครราชทูตเยอรมนี แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าพบในวันนี้ และยินดีที่ประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ ออท. เยอรมนี เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะนำประเทศเดินหน้าตามโรดแมปพร้อมยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนี และ ไทย ที่มีมาอย่างยาวนาน และกล่าวว่า ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองไทยจะเป็นอย่างไร เยอรมนีพร้อมจะเป็นเพื่อนกับประเทศไทย นอกจากนี้ ออท. เยอรมนี ยังได้แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ดูแลภาคเอกชนเยอรมนีที่มาลงทุนในไทยเป็นอย่างดีด้วย
โดยวันนี้มีผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนี 6 ราย เป็นผู้แทนคณะ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1. การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย โดยบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย 2. การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการลงทุนในพลังงานทดแทน โดยบริษัท รีเทค เอ็นเนอร์ยี่ 3. ความร่วมมือด้านการเกษตร โดยบริษัท ไบเออร์ คอร์ปไซน์ บิสซิเนส กรุ๊ป 4. ความร่วมมือด้านการอาชีวศึกษา โดยบริษัท เมอร์ซิเดส เบนซ์ 5. การส่งเสริมการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา โดยบริษัท บ๊อช ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) และ 6. ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยบริษัท ซีเมนส์
โอกาสนี้นักธุรกิจชั้นนำจากเยอรมนี แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี และกล่าวว่าเยอรมนีเข้าใจถึงสถานการณ์ของไทยเป็นอย่างดี และยินดีที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนาการค้าการลงทุน โดยหลายบริษัทแสดงความประสงค์ที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทย และยินดีถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่เยอรมนีมีความเชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย เยอรมนีเห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่สำคัญ และยังมีศักยภาพในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแพทย์และการสาธารณสุข การท่องเที่ยว การบริการ เป็นต้น อย่างไรก็ดีภาคเอกชนเยอรมนีหวังให้รัฐบาลผลักดันมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุนของเยอรมนีในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนเยอรมันในไทยต่อไป