เมืองไทย 360 องศา
“วันนี้ผมไม่เห็นใครบ่นมากมายเท่ากับนักการเมืองเลย มีนักการเมืองเท่านั้นที่วุ่นวายทุกวันนี้ ผมถามว่าที่ผ่านมาเขาทำวุ่นวายไว้หรือเปล่า เออถ้าเขาทำดีมาตลอด ผมจะไปห้ามอะไรเขาล่ะ วันนี้ที่เขาทำ ก็ยังทำเหมือนเดิมอยู่ทุกวันนี้ แล้วบอกว่าจะปรองดอง ให้ผมปรองดองคืออะไร เขาเรียกอะไรนะ นิรโทษฯ มั้ง ยกโทษทั้งหมดเลย ทั้งคนต่างประเทศ คนในประเทศ อ้างนี่โน่นไปหมดทั้งหมด สรุปว่าปล่อยคนออกจากคุกหมดเลยเหรอ ผมทำไม่ได้หรอกนะ ถ้าจะสงบทุกคนต้องหยุดบ้างนะ หยุดกัน ถ้าท่านไม่ให้ร้ายผม ผมก็ไม่ตอบโต้กับท่าน”
“ถ้าท่านไม่มาขัดแย้งกฎหมาย กฎหมายก็ทำอะไรกับท่านไม่ได้ ถ้าท่านอยากจะกลับบ้าน ท่านก็มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็กลับบ้านได้ ก็มีอะไร ประกันตัว สู้คดี บางคนสู้กัน 10 ปี ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ตายยังไม่เห็นเข้าคุกเลย คนตายน่ะ สู้คดีไม่เสร็จ มันมีอายุความทั้งหมด นี่ไม่ยอมซักอย่าง แล้ววันนี้ก็ดึงนี่โน่นมาพาดพิง เยอะแยะไปหมด ถ้าทุกคนรู้อย่างที่ผมรู้นะ จะหนาวอีกเหมือนกันนะ ผมอดทนทุกอย่างแหละ เออ คือแรงไปก็ไม่ได้ ทั้งที่เลวร้ายนะ น่ากลัว ที่เขาทำกันอยู่ทุกวันนี้นะ ถ้าพูดมากๆ ประเทศก็ไม่ปลอดภัย ประเทศก็มีคนเชื่อมั่น แต่คนเหล่านี้เขาสนใจไหมล่ะ พูดทุกวันนี้ แล้วก็จะมาเป็นรัฐบาลกันอีกหรือ พวกนี้ ผมว่าไม่ไหวนะ ประชาชนคิดเอาแล้วกัน
“ผมอยากจะมีอำนาจอะไรสักอย่าง ไม่อยากอยู่ต่อทั้งสิ้น ถ้ามีคนมารับดีๆ ท่านไปเตรียมตัวมาสิ เตรียมตัวให้ดี ไม่ใช่มารบกับผมอย่างวันนี้ เพราะผมทำให้ท่าน คนทั้งประเทศไทย ผมทำให้รัฐบาลใหม่ วันหน้าผมก็ใช้ภาษีเพื่อทาน ผมไม่ได้มาสั่งงานอะไรท่านอีกแล้ว ท่านจะได้มีเงินมากๆ จะไปทำอะไรของท่านก็ไปทำเถิด ให้ประชาชน ทำให้ได้อย่างผมทำก็แล้วกัน จะเริ่มใหม่ดีกว่านี้ก็เชิญ วันนี้ผมเอาแบบนี้ เพราะงั้นต้องอยู่ภายใต้กรอบ ไม่ใช่กรอบเพื่อผม มีความสุขหรือบังคับคน ไม่มีความสุขหรอกครับ ถ้ามีอำนาจนะ อย่างที่ผมเคยมี จะไม่มีความสุข เป็น ผบ.ทบ.มาผมไม่มีความสุข ผมต้องมี 2 อย่างยังไง ให้คุณกับให้โทษ ให้คุณก็โอเคมีจำนวนที่จำกัดอยู่แล้ว แต่ให้โทษนี่ คนเยอะยังไง ต้องลงโทษเยอะยังไง ผมบอกแล้วผมไม่ใช่คนที่อยากใช้อำนาจกับใคร สงสารเขา แต่บางคนก็ไม่น่าสงสารนะ ประชาชนก็ต้องแยกให้ออกนะ อย่าไปให้เขาปลุกระดมต่างประเทศ ต้องช่วยกันพูดสิ นี่พอเขาพูดก็พูดตาม ขยายข่าวเขาไปเรื่อย ก็เท่ากับคนก็รับรู้มากขึ้น ผมพูดคนเดียว ทางโน้นพูดเป็นร้อยคน ผมจะสู้ไหวไหมเล่า แล้วประเทศก็วุ่นวาย”
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา เปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้ทราบในทำนองว่ามีบางกลุ่มกำลังเคลื่อนไหวเพื่อทำลายความมั่นคงในแบบที่ “รู้แล้วจะหนาว” เพราะเป็นเรื่องที่ “เลวร้ายและน่ากลัว”
แน่นอนว่า คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ระบุว่า “ถ้าท่านอยากกลับบ้านก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็กลับบ้านได้ ประกันตัวสู้คดี ก็ไม่มีอะไร แต่นี่ไม่ยอมซักอย่าง” แม้ว่าจะไม่ได้ระบุชื่อตรงๆ แต่ถ้าให้เดาก็น่าจะหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ และไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาอ้างว่า “ยุติความเป็นธรรม” กับเขา
ขณะเดียวกัน ในทางลึกและในทางเปิดเผย ทักษิณ ชินวัตร ยังพูดจาวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทย กระบวนการยุติธรรมไทย รัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนี้ยังมีกลุ่มมวลชนในสังกัดของเขาที่เคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่อง ประสานกันทั้งในและต่างประเทศในหลากหลายรูปแบบซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถรับรู้และเข้าใจได้ หากติดตามการเมืองมาอย่างต่อเนื่องและรู้เท่าทัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสำหรับบางคนอาจมองว่าคำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเก่าที่พบเห็นจนเป็นเรื่องปกติมาตั้งแต่ ปี 2553 แต่สำหรับคนไทยอีกไม่น้อยที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็อาจตื่นเต้นบ้าง แต่ขณะเดียวกัน ในระยะหลังจะเริ่มเห็น พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มเปิดเผยข้อมูลและกล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขาแบบตรงๆ มากขึ้น
อีกด้านหนึ่งเมื่อโดนพาดพิงก็ต้องเจอตอบโต้อย่างรุนแรงกลับมา คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการกล่าวถึง “ข้อมูลที่น่ากลัว” ก็มีการตอบโต้จากคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย เท่าที่เห็นก็มี จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ท้าทายให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดเผยรายละเอียดออกมา และให้เปิดเผยออกมาให้หมดว่าเป็นใคร แต่ลักษณะท่าทางดังกล่าวถูกมองว่าไม่ต่างจากพวก “กินปูนร้อนท้อง” ไปเสียอีก
แต่สิ่งที่น่าจับตามองในเวลานี้แล้ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดน่าสนใจเท่ากับกรณีของ “ธัมมชโย” และเครือข่ายวัดพระธรรมกาย หลังจากที่ธัมมชโยดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวหลังจากถูกศาลอาญาอนุมัติหมายจับในคดีรับของโจร และสมคบกันฟอกเงินจากการรับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น มิหนำซ้ ำยังมีการแสดงให้เห็นในทำนองตั้งป้อมสู้ มีการตั้งเครื่องกีดขวาง และระดมกำลังหนุนเข้ามาภายในวัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรณีหลังกำลังเป็นที่จับตามองว่าจะจบลงแบบไหน เพราะผู้ต้องหามีหมายจับติดตัวแล้ว และเจ้าหน้าที่ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะละเว้นหน้าที่ไม่ได้ ทุกคดีต้องว่ากันด้วยมาตรฐานเดียวกัน จะวัดกันด้วย “ความเชื่อ” ไม่ได้ ต้องพิจารณากันด้วยพยานหลักฐานและศาลจะเป็นผู้ตัดสิน โดยไม่มีใครมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมายได้ แม้ไม่เชื่อก็ต้องถูกบังคับให้เข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จากเดิมที่เคยรับรู้กันในวงจำกัดมาสู่วงกว้างมากขึ้นกว่าเดิมว่า ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และ นปช. ล้วนเป็นพวกเดียวกัน และล่าสุด อาจหมายรวมถึง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งมหาเถรสมาคมส่วนหนึ่งอีกด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้เคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน สอดรับกัน ทุกอย่างเริ่มชัดเจนและแยกไม่ออก ส่วนจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ “รู้แล้วจะหนาว” หรือไม่ ต้องติดตาม
ดังนั้น งานนี้ย่อมไม่ธรรมดา และยังเชื่อว่าอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเผยออกมาให้เห็นมากขึ้นแน่นอน!