เมืองไทย 360 องศา
“ไปตรงนี้เดี๋ยวจะขวัญเสีย รัฐบาลไปแน่ เลิกดีกว่า แบบนี้ไม่ได้ บอกตรงนี้ ไม่สงบไม่เรียบร้อยก็ไม่ไป”
คำพูดล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวออกมาในช่วงที่กำลังเผชิญเหตุการณ์สำคัญข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทั้งก่อนและหลังการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำหนดเอาไว้วันที่ 7 สิงหาคม และเฉพาะหน้าก็คือ กรณี “ดื้อแพ่ง” ของ “ธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่กำลังหนีหมายจับคดีสมคบกันฟอกเงินและรับของโจรอยู่ในเวลานี้
ทั้งสองเรื่องล้วนโยง “เป็นเรื่องเดียวกัน” ได้ไม่ยาก เพราะหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ต้น พวกที่จ้องป่วนล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน และเป็น “แนวร่วมเดียวกัน” มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าในอดีตมีการเกื้อกูลพึ่งพากันแบบปิดบังซ่อนเร้น และในทางสาธารณะก็ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนให้เห็นชัดกันแบบนี้ มีเพียงคนที่ติดตามการเมืองแบบเกาะติดและรู้ทันกันเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่รับรู้
พูดกันแบบตรง ๆ ก็คือ ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว พรรคเพื่อไทย นปช. คนเสื้อแดง กับ ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย หรืออาจรวมถึง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ล้วนเป็นพวกเดียวกัน เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกันมานานแล้ว และล่าสุด ยังได้เห็นภาพการเข้าพบของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยเคลื่อนไหวในสังกัดของ ทักษิณ มาแล้ว ยิ่งทำให้น่าเคลือบแคลงสงสัย
กรณีแรกหากพูดถึงเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ว่าพิจารณาจากท่าทีของพรรคการเมืองใหญ คือ พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ ล้วนไม่เอาร่างฉบับนี้ แต่ที่ชัดเจนและประกาศคว่ำ ก็คือ พรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะมีการกำหนดข้อห้ามในเรื่องคุณสมบัติบางเรื่องไว้เข้มงวด โดยเฉพาะพวกที่มีแบ็กกราวนด์โกง ถูกยึดทรัพย์ ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ คนพวกนี้จะถูกห้ามลงสนามการเมืองตลอดชีวิต ซึ่ง ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดนเข้าไปเต็ม ๆ อีกทั้งในเรื่องของการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง และพรรคการเมือง ยังมีข้อจำกัดในเรื่องจำนวน ส.ส. ที่มีวิธีการนับคะแนนที่ทำให้มีจำนวนกระจาย ทำให้โอกาสที่ไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมากเด็ดขาด อีกทั้งยังเปิดทางให้มีนายกฯคนนอกเกิดขึ้นด้วย อย่างน้อยในบทเฉพาะกาล 5 ปี ให้มี ส.ว. แต่งตั้งมาคานอำนาจอีกด้วย
เรียกว่า ทักษิณ ชินวัตร และคนสำคัญในครอบครัวของถูกปิดประตูตายกันเลยทีเดียว ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่คนพวกนี้ ในเครือข่ายนี้จะต้องขวางทุกทาง
ที่ผ่านมา ทางฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยพูดหลายครั้งแล้วว่า “ยังมีความเคลื่อนไหวป่วน” ในลักษณะเป็น “คลื่นใต้น้”" แม้ไม่ได้ระบุตรง ๆ ว่า เป็นพวกไหน แต่ถ้าพอมีสติปัญญาอยู่บ้างก็ต้องมองออก
ส่วนกรณีที่สอง ก็คือ การดื้อแพ่ง ท้าทายอำนาจรัฐของ ธัมมชโย และ “ธรรมกาย” ในเวลานี้ การที่มีการตั้งค่ายคูประตูหอรบ มีการระดมกำลังผู้สนับสนุนในคราบของผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ต่างจากการ “สร้างเขตปลดปล่อย” ขึ้นมาในใจกลางเมือง แบบที่ไม่เกรงกลัวต่ออาญาแผ่นดิน ทำให้จนถึงเวลานี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังไม่สามารถเข้าไปจับกุมตัว ธัมมชโย ทั้งที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับไปแล้วตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากเกรงว่าจะมีการปะทะ มีการใช้อาวุธ มีการนองเลือด แต่ขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่ง นั่นคือ การล่อให้อีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนออกมาให้มากที่สุด เปิดเผยแนวร่วมออกมาให้เห็น ซึ่งเวลานี้ก็แจ่มชัดว่า พรรคเพื่อไทย พวก นปช. กับ วัดพระธรรมกาย ธัมมชโย เป็นพวกเดียวกัน ดังนั้น หากย้อนกลับไปตั้งแต่ยุค ทักษิณ ชินวัตร มวลชนที่สนับสนุนก็มาจากที่เดียวกัน หากมีการใช้อาวุธ ก็คนพวกนี้ที่ใช้ และยังมีการเชื่อมโยงไปถึงกรณีที่อัยการสูงสุดยุคหนึ่งถอนฟ้องคดี ธัมมชโย ในศาลฎีกา ก่อนมีการพิพากษาไม่กี่วัน เมื่อปี 2549 ในคดียักยอกทรัพย์
ดังนั้น หากพิจารณาทั้งสองกรณี ก็สามารถเชื่อมโยงกันได้ไม่ยากว่า “เป็นคนละเรื่องเดียวกัน” มีความสัมพันธ์กัน จากที่เคยแยกกันเดิน แต่มีเป้าหมายเดียวกัน มาวันนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป และ “จวนตัว” ทำให้ต้องหันมา “รวมกันตี” ต้องเปิดหน้าเปิดตาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม และนี่อาจเป็นสาเหตุของคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำว่า “ถ้ายังไม่สงบก็ไม่ไปไหน” หรือเปล่า เพราะความเคลื่อนไหวที่ตั้งเค้าอยู่ในเวลานี้มันกระทบต่อความมั่นคงจริง ๆ !!