เมืองไทย 360 องศา
ตามกำหนดการวันที่ 26 พฤษภาคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำหนดเส้นตายให้ พระเทพญาณมหามุณี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสพระธรรมกาย มารับทราบข้อกล่าวหาในฐานความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร จากการรับเช็คจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ตามที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับไปตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
เส้นตายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษกำหนดเอาไว้ล่าสุดว่าต้องมามอบตัวที่สำนักงานดีเอสไอ ชั้น 8 ศูนย์ราชการอาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งตามกำหนดก็น่าจะเป็นภายในช่วงเวลาราชการ และที่ผ่านมา พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เคยกล่าวว่า หากพ้นวันที่ 26 พฤษภาคมแล้ว ผู้ต้องหายังไม่มามอบตัว วันรุ่งขึ้นวันที่ 27 พฤษภาคม ทางดีเอสไอจะประชุมกันเพื่อดำเนินการต่อไป และยืนยันว่า พร้อมที่จะไปจับกุมถึงเตียงเลยทีเดียว
เชื่อว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวที่กำหนดเป็นเส้นตายทุกสายตาต้องจับจ้องมองว่า “ธัมมชโย” จะไปมอบตัวตามกำหนดหรือไม่ หรือว่าจะหลบหนีไปก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในเมื่อศาลออกหมายจับ และ ธัมมชโย กลายเป็นผู้ต้องหาแล้ว ทีนี้สิ่งที่ต้องจับตามอง ก็คือ ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้ก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และอัยการ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ต่างหาก แต่เท่าที่พิจารณาในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าทั้งอัยการโดยเฉพาะทางดีเอสไอได้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายมาเป็นลำดับจากเบาไปหาหนัก มีการผสมผสานให้เกียรติกับผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์ มีการยืดหยุ่นให้บ้างตามสมควร ไม่ถึงขั้น “หัก” กันตั้งแต่แรก เพราะตั้งแต่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ยืดเวลาให้มามอบตัวจนถึงวันที่ 26 พฤษภาคม มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีชัดเจนว่าหากมามอบตัวตามกำหนดก็จะให้ประกันตัวในวงเงิน 5 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นไปตามข้อหาและมูลค่าความเสียหายของคดี แต่ถึงอย่างไรแม้ว่าจะยืดหยุ่นอะลุ่มอล่วยก็ยังเป็นตามขั้นตอนกฎหมาย มีการเปิดช่องเอาไว้ได้บ้าง
แต่สิ่งที่น่าจับตาในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่ ธัมมชโย จะเข้ามอบตัวหรือไม่ เพราะสิ่งที่ต้องจับตายิ่งกว่าก็คือการทำหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าได้ทำตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งอย่างหลังนี่แหละเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
แน่นอนว่า ในส่วนของผู้ต้องหา จะต้องหาทางดิ้นรนจนถึงที่สุดเพื่อที่จะให้ตัวเองได้พ้นผิด หรือยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด แต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับมาตรฐานการทำงานของเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกัน หากย้อนกลับไปพิจารณาผลงานในอดีตของพนักงานอัยการมาเปรียบที่ตอนนั้น ธัมมชโย ถูกดำเนินคดีในชั้นศาลฎีกา และกำลังจะถูกตัดสินในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่กลายเป็นว่ามีการถอนฟ้องกันกลางศาล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องพิลึก และเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ดี ในยุคปัจจุบันแม้ว่าจะไม่ใช่ยุคที่เรียกว่าประชาธิปไตย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ประกาศเอาไว้แล้วว่าทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด และล่าสุด เขาก็ได้กล่าวถึงเรื่องคดีของ ธัมมชโย ว่า “ให้กระทรวงยุติธรรมว่ากันไป กฎหมายว่าอย่างไร ก็ต้องว่าตามนั้น แต่ไม่รบกับพระอยู่แล้ว เพราะถือว่าเป็นไทยพุทธ ดังนั้น อย่าทำให้เกิดความแตกแยกในเหล่าพุทธศาสนิกชน”
“เรื่องดังกล่าวมี 2 อย่าง คือ ผิดกับถูก ดังนั้น จึงอยู่ที่กฎหมายและการบังคับใช้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน พระสงฆ์เองนอกจากต้องเคารพกฎหมายแล้ว ยังมีเรื่องของวินัยสงฆ์ที่ต้องเคารพด้วย เรื่องนี้ยืนยันว่าไม่เข้าข้างใครอยู่แล้ว การบังคับใช้กฎหมายก็มีวิธีการอยู่ ขออย่างเดียวคือ อย่าปลุกระดมให้คนออกมาต่อสู้กัน ถ้าคนต้องสู้กันเรื่องศาสนา ผมจะไม่ช่วยใครทั้งสิ้น โดยต้องปล่อยให้กลไกรัฐทำงาน ถ้าอยากจะตีกันก็ตีไป ผมจะดูรอบนอกให้ เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาตีกันด้วย”
ฟังจากคำพูดและท่าทีดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เคยย้ำถึงหลักการทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการ หากไม่ทำก็ถือว่าเจ้าหน้าที่มีความผิด รวมทั้งหากไม่กล้าดำเนินคดีกับธัมมชโยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็สมควรลาออกไป
ดังนั้น เมื่อประมวลจากท่าทีดังกล่าวทั้งหมด ก็พออุ่นใจได้ว่าทุกอย่างต้องว่ากันไปตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่อาจยกเว้นให้ใครได้ เป็นมาตรฐานเดียว ขณะเดียวกันแม้ว่าทุกสายตาจะจับจ้องมองว่า ธัมมชโย จะเข้ามอบตัวหรือไม่ อาจไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญแล้ว เพราะถึงอย่างไรทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อ หากไม่มอบตัวก็ต้องจับกุม หากมอบตัวก็พิจารณาให้ประกันตัวตามหลักทรัพย์ที่กำหนดเอาไว้ ที่สำคัญ ความกดดันน่าจะไปอยู่ที่ฝ่ายผู้ต้องหา ที่ถึงอย่างไรต้องไปมอบตัว เพราะหากหลบหนีหรือถูกจับกุมก็ต้องขาดจากความเป็นพระทันทีซึ่งนี่แหละคือเรื่องใหญ่ !!