MGR Online - “ไพบูลย์-เครือข่ายสตรีปกป้องพุทธฯ” ยื่นหนังสือต่ออธิบดีดีเอสไอ ดำเนินคดีแพ่ง-อาญา “ธัมมชโย” ให้ถึงที่สุด ฐานร่วมกับสหกรณ์ฯ คลองจั่น ฟอกเงิน-ฉ้อโกง ปชช. ส่วนมีสัญญาสมยอมที่สหกรณ์ทำร่วมกับกองทุนศิษย์ ช่วยให้พ้นผิดมากกว่าไม่เอื้อประโยชน์ผู้เสียหาย
วันนี้ (10 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมด้วย นพ.มโน เลาหวณิช อดีตผู้อำนวยการสำนักการศึกษาและสำนักวิเทศสัมพันธ์ด้านการต่างประเทศ วัดพระธรรมกาย ร่วมกับเครือข่ายสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา และตัวแทนกลุ่มสมาชิกผู้เสียหายสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ เพื่อดำเนินคดีอาญาให้ถึงที่สุดต่อพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานร่วมกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ คลองจั่น ผู้ต้องหาฉ้อโกงเงินฝากของประชาชน
นายไพบูลย์กล่าวว่า ตามที่ดีเอสไอได้สอบสวนแล้วเห็นว่าพระธัมมชโย ร่วมกับนายศุภชัยกระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ซึ่งเข้าข่ายร่วมกันฉ้อโกงเงินฝากของประชาชนนั้น เป็นการดำเนินการตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่สมาชิกสหรณ์ฯที่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น คดีใดก็ตามหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินฝากของประชาชน จึงเป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายกฎหมายที่จะต้องดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่ร่วมกันกระทำผิดทุกคนมาลงโทษให้ถึงที่สุดให้ได้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ที่ดูแลเงินฝากของประชาชนต่างๆ จะได้ไม่กล้ากระทำการฉ้อโกง
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า ตนพร้อมเครือข่ายจึงนำหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าสัญญากรรมการสหกรณ์ฯ ที่ได้ทำร่วมกับกองทุนศิษย์ของพระธัมมชโย เป็นสัญญาที่มีลักษณะไม่ได้ให้ประโยชน์กับประชาชนผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสัญญาสมยอมช่วยเหลือพระธัมมชโย เพื่อให้พ้นจากการรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ทั้งที่คดีอาญานั้น ทางสหกรณ์ฯไม่มีสิทธิ์ไปทำเรื่องสมยอม ส่วนคดีแพ่งพระธัมมชโยกับวัดพระธรรมกายมีทรัพย์สินที่สามารถบังคับคดีได้ เพื่อนำมาชดเชยให้กับสมาชิกสหกรณ์ฯผู้เสียหาย เป็นจำนวนเงินหลาย 10,000 ล้านบาท แต่กลับไปทำสัญญายอมกันด้วยจำนวนเงินที่ไม่มากและเงินดังกล่าวยังมีเงื่อนไขในสัญญาผูกพันลักษณะสำรองจ่าย
“ผมอยากทราบว่ากรรมการสหกรณ์ฯ ที่ทำงานในห้วงเวลาที่ทำให้เกิดความเสียหาย ทำไมจึงไม่ถูกดำเนินคดีในฐานะร่วมกันฉ้อโกงเงินฝากของประชาชนด้วย จึงเรียกร้องให้ดีเอสไอดำเนินการอย่างถึงที่สุดและจริงจัง แม้จะมีลูกศิษย์วัดบางส่วนออกมายื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศเพื่อให้ถอนฟ้องคดีดังกล่าว โดยอ้างว่าสหกรณ์ฯ ได้ถอนฟ้องแล้ว แต่ความจริงคือยังไม่มีการถอนฟ้องใดๆ เลย” นายไพบูลย์กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.สมบูรณ์กล่าวว่า ตนจะรับเรื่องดังกล่าวไว้ และนำไปยื่นให้แก่อธิบดีดีเอสไอเพื่อพิจารณาและดำเนินการสั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษต่อไป