สะเก็ดไฟ
เวทีเปิดรูระบายให้พรรคการเมืองออกมาร้องแรกแหกกระเชอของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น่าจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่า จนถึงขณะนี้ การลงประชามติ ในวันที่ 7 สิงหาคม น่าจะยังมีอยู่ ยังไม่ถึงจุดที่ต้องจะล้มก่อน ตามที่ “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาตีฆ้องร้องเป่าว่าอาจไม่เกิดขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ก่อนหน้านี้
แม้จะมีท่าทีเหมือนไม่มั่นใจออกมาจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในระยะหลังๆ แต่ดูท่าแล้วยังไม่คิดจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ยังขอดูเวลาที่เหลือในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ว่าจะคอนโทรลอยู่หรือไม่ มีลางบอกเหตุอะไรที่จะทำให้แน่ใจว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติร้อยเปอร์เซ็นต์
ก็อย่างที่รู้กันถึงนิสัยใจคอทหาร อะไรไม่ชัวร์ไม่ยอมให้ลุกลามเป็นไฟลามทุ่งแน่ เพียงแต่ตอนนี้มันยังมีปัจจัยอะไรให้ตัดสินใจอีกหลายประการ โดยเฉพาะโรคแทรกที่อีกฝ่ายจะงัดออกมาเล่นงานในช่วงเวลาที่เหลือ หลังช่วงสัปดาห์ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา รุกยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไปชุดใหญ่ จนรัฐบาลและคสช.กลายเป็นมวยเมาหมัด ต้องแก้เกมด้วยการเปิดเวทีกลางให้ระบายอารมณ์ที่อัดอั้น เพื่อลดโทน
ขณะที่ท่าที “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวบนเวทีว่าจะไม่มีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอีกชุดหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ แม้ภายหลังจะออกมาแก้ต่างว่าเป็นการประมาณการส่วนตัวก็ตาม แต่มันเป็นเหมือนงานถนัดที่ซือแป๋กฎหมายรายนี้มักทำในยุคทหาร
นั่นคือการโยนหินถามทาง เช็กปฏิกิริยาของแต่ละฝ่าย ซึ่งเอาเป็นว่านาทีนี้เรื่องล้มเวทีประชามติก่อนสายยังเป็นทางหนีทีไล่หนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับกดปุ่มตัดสินใจแล้ว เพราะยังพอมีเวลาอีกเหลือเฟือ อีกทั้งรัฐบาล และ คสช.ก็หมายมั่นปั้นมือกับผลของการทำประชามติเอาไว้เยอะ เนื่องจากเชื่อว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติไปได้ สถานการณ์ต่างๆ ภายในประเทศ และแรงกดดันจากนอกประเทศจะเบาบางลง นาทีนั้นทุกคนจะหันไปมองเรื่องการเลือกตั้งกันหมด จะพูดกันแต่ว่า จะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งออกมาบริสุทธิ์ ยุติธรรม ใครจะเป็นผู้ชนะ ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พรรคใหม่ พรรคทหาร จะเกิดขึ้นหรือไม่ ต่างๆ นานาเหล่านี้
รัฐบาลและคสช.จะมีของเล่นมากขึ้น จะท่องคาถาเลือกตั้งๆ ปี 2560 แม้จะมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญย่ำแย่แค่ไหนอยู่ก็ตาม แต่ถึงตรงนั้นต่อจะให้มีคนนินทาหมาดูถูกไปก็เท่านั้น เพราะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว อีกทั้งยังอ้างได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน เสียงคนที่ก่นด่าจะแผ่วเบา ไม่หนักเท่าก่อนหน้าวันที่ 7 สิงหาคม คือด่าไปแต่ทำอะไรไม่ได้
รัฐบาลและ คสช.จะมีช่องให้เอาตัวรอดว่ากำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง มีอะไรให้ไปตัดสินใจในคูหา ทุนต่างด้าวท้าวต่างแดนเข้ามา ก็ท่องวันละ 3 เวลา ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในกรกฎาคม 2560 เพื่อเป็นยันต์กันผีให้ตัวเอง ความสนใจในเนื้อหารัฐธรรมนูญ จะน้อยลงทุกที
แต่นั่นเป็นมุมมองโลกสวยของฝ่ายกุมอำนาจ เพราะฝ่ายที่เสียอำนาจจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ย่อมต้องทำทุกทาง ให้ไม่มีวันนั้น โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เพราะการยอมให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ เท่ากับการนั่งรอความตาย เนื่องจากมองอย่างไรพรรคเพื่อไทย ไม่มีวันกลับมามีอำนาจรัฐได้จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ออกแบบดีไซน์กันมาเพื่อบอนไซโดยตรง
ดังนั้น หมุดหมายแรกที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำคือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านประชามติ เพื่อหยุดยั้งความชอบธรรมของรัฐบาลและ คสช. เพราะการล้มได้ เท่ากับเพิ่มความชอบธรรมให้กับตัวเองในการอ้างเสียงประชาชนที่ไม่เห็นชอบเพื่อคัดค้านเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์ต่อการสืบต่ออำนาจของ คสช.ที่พยายามทำมาตั้งแต่ยุค “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต่อเนื่องถึงซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และที่กำลังจะทำต่อไป หากฉบับนี้ถูกคว่ำ
เพราะพรรคเพื่อไทยรู้ว่า เป้าหมายของ คสช.นั้นคือการอยู่ลากยาวต่อไปอีก 5 ปี ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดก็ตาม หากจะร่างใหม่ย่อมต้องซ่อนปมให้ตัวเองยังมีอำนาจอยู่ แต่ถ้าคว่ำได้ การที่ คสช.จะผลิตอะไรซ้ำๆ ย่อมไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว จะเป็นฝ่าย คสช.ที่ต้องปวดสมอง
วันนี้พรรคเพื่อไทยยังเป็นเหมือนเดิม คือ คว่ำร่างรัฐธรรมนูญแน่ ต้องหาทางทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ดีกับกติกาฉบับนี้ โดยแคมเปญชวนเชื่อต่างๆ นานา ทั้งในโซเชียลมีเดีย และการสร้างกระแสในสังคม ไม่มีอะไรซับซ้อน การขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทยให้ส่องไปที่ความเคลื่อนไหวแกนนำที่มีความสนิทสนมกับทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่เป็นสำคัญ ซึ่งถึงตรงนี้ ท่าทีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-ภูมิธรรม เวชชยชัย-วัฒนา เมืองสุข หรือแม้กระทั่งเฟซบุ๊กของพานทองแท้ ชินวัตร ยังเป็นปฏิกิริยาที่สู้อยู่ ไม่ได้ยอม
ขณะที่ “จตุพร” แม้จะแหกเหล่าและไปตีปี๊บเรื่องประชามติไม่โกง ในท่วงทำนองที่อยากให้มี วันที่ 7 สิงหาคม โดยขอให้ คสช.อย่าล้ม จะว่าไปมันก็เป็นเพียงหัวโขนและบทบาทที่ต้องเล่นในฐานะแกนนำมวลชน ที่พูดพร่ำทำเพลงอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้
อีกทั้งความคิด “ตุ๊ดตู่” มันก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อปฏิกิริยาใดๆ ในพรรคเพื่อไทย เพราะสุดท้ายคนที่คุมและใหญ่สุดในพรรคก็คือ “เหลี่ยมดูไบ” ซึ่งวันนี้ยังสู้ไม่ถอย ลิ่วล้อใกล้ชิดยังออกมาปั่นป่วนอยู่ทุกวัน จะมีก็แต่พวก ส.ส.ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังหวั่นไหว สองจิตสองใจ เพราะอดอยากปากแห้งมา 2 ปี อยากจะกลับไปสู่สนามเลือกตั้งให้รู้แล้วรู้รอดก่อน แล้วค่อยไปว่ากันในภายภาคหน้า
ก็อยู่ที่ว่าจะใช้ยุทธวิธีอะไรที่จะโน้มน้าวใจให้ลงคะแนนไม่เห็นชอบแบบเทน้ำเทท่า หรือต่อให้แม้หมดทางต่อสู้ ดูท่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านไปอย่างที่ คสช.มุ่งหมาย มันก็ยังมีช่องให้ปั่นป่วนอยู่ดี โดยเฉพาะพวกสายใต้ดินที่มนุษยธรรมต่ำ ศึกประชามตินี้จึงมีความสำคัญมากกว่าแค่รัฐธรรมนูญ ผ่านหรือไม่ผ่าน แต่มันหมายถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการต่อสู้หลังจากนี้ ในการโค่นอีกฝั่งให้คว่ำลง
จะบอกว่ามันเป็นการเดิมพันระหว่าง คสช. กับพรรคเพื่อไทยกลายๆ ก็คงไม่ผิดนัก
เวทีเปิดรูระบายให้พรรคการเมืองออกมาร้องแรกแหกกระเชอของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น่าจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่า จนถึงขณะนี้ การลงประชามติ ในวันที่ 7 สิงหาคม น่าจะยังมีอยู่ ยังไม่ถึงจุดที่ต้องจะล้มก่อน ตามที่ “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาตีฆ้องร้องเป่าว่าอาจไม่เกิดขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ก่อนหน้านี้
แม้จะมีท่าทีเหมือนไม่มั่นใจออกมาจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในระยะหลังๆ แต่ดูท่าแล้วยังไม่คิดจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ยังขอดูเวลาที่เหลือในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ว่าจะคอนโทรลอยู่หรือไม่ มีลางบอกเหตุอะไรที่จะทำให้แน่ใจว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติร้อยเปอร์เซ็นต์
ก็อย่างที่รู้กันถึงนิสัยใจคอทหาร อะไรไม่ชัวร์ไม่ยอมให้ลุกลามเป็นไฟลามทุ่งแน่ เพียงแต่ตอนนี้มันยังมีปัจจัยอะไรให้ตัดสินใจอีกหลายประการ โดยเฉพาะโรคแทรกที่อีกฝ่ายจะงัดออกมาเล่นงานในช่วงเวลาที่เหลือ หลังช่วงสัปดาห์ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา รุกยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไปชุดใหญ่ จนรัฐบาลและคสช.กลายเป็นมวยเมาหมัด ต้องแก้เกมด้วยการเปิดเวทีกลางให้ระบายอารมณ์ที่อัดอั้น เพื่อลดโทน
ขณะที่ท่าที “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวบนเวทีว่าจะไม่มีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอีกชุดหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ แม้ภายหลังจะออกมาแก้ต่างว่าเป็นการประมาณการส่วนตัวก็ตาม แต่มันเป็นเหมือนงานถนัดที่ซือแป๋กฎหมายรายนี้มักทำในยุคทหาร
นั่นคือการโยนหินถามทาง เช็กปฏิกิริยาของแต่ละฝ่าย ซึ่งเอาเป็นว่านาทีนี้เรื่องล้มเวทีประชามติก่อนสายยังเป็นทางหนีทีไล่หนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับกดปุ่มตัดสินใจแล้ว เพราะยังพอมีเวลาอีกเหลือเฟือ อีกทั้งรัฐบาล และ คสช.ก็หมายมั่นปั้นมือกับผลของการทำประชามติเอาไว้เยอะ เนื่องจากเชื่อว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติไปได้ สถานการณ์ต่างๆ ภายในประเทศ และแรงกดดันจากนอกประเทศจะเบาบางลง นาทีนั้นทุกคนจะหันไปมองเรื่องการเลือกตั้งกันหมด จะพูดกันแต่ว่า จะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งออกมาบริสุทธิ์ ยุติธรรม ใครจะเป็นผู้ชนะ ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พรรคใหม่ พรรคทหาร จะเกิดขึ้นหรือไม่ ต่างๆ นานาเหล่านี้
รัฐบาลและคสช.จะมีของเล่นมากขึ้น จะท่องคาถาเลือกตั้งๆ ปี 2560 แม้จะมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญย่ำแย่แค่ไหนอยู่ก็ตาม แต่ถึงตรงนั้นต่อจะให้มีคนนินทาหมาดูถูกไปก็เท่านั้น เพราะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว อีกทั้งยังอ้างได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน เสียงคนที่ก่นด่าจะแผ่วเบา ไม่หนักเท่าก่อนหน้าวันที่ 7 สิงหาคม คือด่าไปแต่ทำอะไรไม่ได้
รัฐบาลและ คสช.จะมีช่องให้เอาตัวรอดว่ากำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง มีอะไรให้ไปตัดสินใจในคูหา ทุนต่างด้าวท้าวต่างแดนเข้ามา ก็ท่องวันละ 3 เวลา ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในกรกฎาคม 2560 เพื่อเป็นยันต์กันผีให้ตัวเอง ความสนใจในเนื้อหารัฐธรรมนูญ จะน้อยลงทุกที
แต่นั่นเป็นมุมมองโลกสวยของฝ่ายกุมอำนาจ เพราะฝ่ายที่เสียอำนาจจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ย่อมต้องทำทุกทาง ให้ไม่มีวันนั้น โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เพราะการยอมให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ เท่ากับการนั่งรอความตาย เนื่องจากมองอย่างไรพรรคเพื่อไทย ไม่มีวันกลับมามีอำนาจรัฐได้จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ออกแบบดีไซน์กันมาเพื่อบอนไซโดยตรง
ดังนั้น หมุดหมายแรกที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำคือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านประชามติ เพื่อหยุดยั้งความชอบธรรมของรัฐบาลและ คสช. เพราะการล้มได้ เท่ากับเพิ่มความชอบธรรมให้กับตัวเองในการอ้างเสียงประชาชนที่ไม่เห็นชอบเพื่อคัดค้านเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์ต่อการสืบต่ออำนาจของ คสช.ที่พยายามทำมาตั้งแต่ยุค “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต่อเนื่องถึงซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และที่กำลังจะทำต่อไป หากฉบับนี้ถูกคว่ำ
เพราะพรรคเพื่อไทยรู้ว่า เป้าหมายของ คสช.นั้นคือการอยู่ลากยาวต่อไปอีก 5 ปี ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดก็ตาม หากจะร่างใหม่ย่อมต้องซ่อนปมให้ตัวเองยังมีอำนาจอยู่ แต่ถ้าคว่ำได้ การที่ คสช.จะผลิตอะไรซ้ำๆ ย่อมไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว จะเป็นฝ่าย คสช.ที่ต้องปวดสมอง
วันนี้พรรคเพื่อไทยยังเป็นเหมือนเดิม คือ คว่ำร่างรัฐธรรมนูญแน่ ต้องหาทางทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ดีกับกติกาฉบับนี้ โดยแคมเปญชวนเชื่อต่างๆ นานา ทั้งในโซเชียลมีเดีย และการสร้างกระแสในสังคม ไม่มีอะไรซับซ้อน การขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทยให้ส่องไปที่ความเคลื่อนไหวแกนนำที่มีความสนิทสนมกับทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่เป็นสำคัญ ซึ่งถึงตรงนี้ ท่าทีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-ภูมิธรรม เวชชยชัย-วัฒนา เมืองสุข หรือแม้กระทั่งเฟซบุ๊กของพานทองแท้ ชินวัตร ยังเป็นปฏิกิริยาที่สู้อยู่ ไม่ได้ยอม
ขณะที่ “จตุพร” แม้จะแหกเหล่าและไปตีปี๊บเรื่องประชามติไม่โกง ในท่วงทำนองที่อยากให้มี วันที่ 7 สิงหาคม โดยขอให้ คสช.อย่าล้ม จะว่าไปมันก็เป็นเพียงหัวโขนและบทบาทที่ต้องเล่นในฐานะแกนนำมวลชน ที่พูดพร่ำทำเพลงอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้
อีกทั้งความคิด “ตุ๊ดตู่” มันก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อปฏิกิริยาใดๆ ในพรรคเพื่อไทย เพราะสุดท้ายคนที่คุมและใหญ่สุดในพรรคก็คือ “เหลี่ยมดูไบ” ซึ่งวันนี้ยังสู้ไม่ถอย ลิ่วล้อใกล้ชิดยังออกมาปั่นป่วนอยู่ทุกวัน จะมีก็แต่พวก ส.ส.ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังหวั่นไหว สองจิตสองใจ เพราะอดอยากปากแห้งมา 2 ปี อยากจะกลับไปสู่สนามเลือกตั้งให้รู้แล้วรู้รอดก่อน แล้วค่อยไปว่ากันในภายภาคหน้า
ก็อยู่ที่ว่าจะใช้ยุทธวิธีอะไรที่จะโน้มน้าวใจให้ลงคะแนนไม่เห็นชอบแบบเทน้ำเทท่า หรือต่อให้แม้หมดทางต่อสู้ ดูท่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านไปอย่างที่ คสช.มุ่งหมาย มันก็ยังมีช่องให้ปั่นป่วนอยู่ดี โดยเฉพาะพวกสายใต้ดินที่มนุษยธรรมต่ำ ศึกประชามตินี้จึงมีความสำคัญมากกว่าแค่รัฐธรรมนูญ ผ่านหรือไม่ผ่าน แต่มันหมายถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการต่อสู้หลังจากนี้ ในการโค่นอีกฝั่งให้คว่ำลง
จะบอกว่ามันเป็นการเดิมพันระหว่าง คสช. กับพรรคเพื่อไทยกลายๆ ก็คงไม่ผิดนัก