ป้อมพระสุเมรุ
โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่พาทย์นำ สำหรับผลการศึกษาที่ “ยังไม่ตกผลึก” ของ “เสรี สุวรรณภานนท์” ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมือง สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เรื่องแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยใช้วิธีรอการกำหนดโทษ
ชนิดที่ขนาดสมาชิก สปท.ที่อยู่คณะกรรมาธิการเดียวกันแท้ๆ ยังงงเป็นไก่ตาแตกว่า มาจากไหน
โดยสภาพมันจึงไม่ค่อยปกติสักเท่าใด โดยเฉพาะเมื่อคนมาเปิดประเด็นนี้ชื่อว่า “เสรี” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน “ม้าใช้” คนสำคัญของฝ่ายอำนาจในปัจจุบัน อย่างที่ทราบกันดีว่า นอกจาก “เสธ.เอ็กซ์” พล.อ.ฐิติวัจน์ กำลังเอก สมาชิก สปท. ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใน สปท.แล้ว ก็มี “เสรี” และ “วันชัย สอนศิริ” สมาชิก สปท. ที่เป็นตัวเดินงานให้ผู้มีอำนาจ
ลองถ้า “สองกุมาร” ออกมาตีปี๊บเรื่องอะไรเลยสักอย่าง งานนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่ ตั้งแต่สมัยทำแท้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 58 ในที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต่อเนื่องมาถึงการดันคำถามพ่วงในการทำประชามติ ให้สมาชิกวุฒิมีส่วนร่วมในการโหวตนายกรัฐมนตรี ในชั้น สปท. จนไฟเขียวฉลุยในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
เชื่อขนมกินได้ ถ้าการขับเคลื่อนครั้งนั้นไม่มีสัญญาณชัดจากฝ่ายอำนาจ ไม่มีทางที่คะแนนเสียงทั้งสองสภาจะผ่านฉลุยแบบท่วมท้นแทบจะเอกฉันท์
มาถึงหนนี้ก็เช่นเดียวกัน ลำพัง “เสรี” ไม่กล้าพอจะออกมาชงข้อเสนออะไรบ้าบิ่นขนาดนี้สุ่มสี่สุ่มห้าให้คสช.เขกกะโหลกแบบโง่ๆ แน่ เพราะมันเป็นการหาเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับรัฐบาลที่มีสารพันปัญหามากมายอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่า ฝ่ายผู้มีอำนาจต้องการอะไรจากการจุดพลุของหนังหน้าไฟเที่ยวนี้
การออกมาเสนอทั้งๆ ที่ผลการศึกษา “ยังไม่ตกผลึก” ก็เป็นอีกจุดที่น่าสังเกต อีกทั้งยังมีความพยายามในการขับเคลื่อนให้เสร็จภายใน 3 เดือนตามที่ “สปท.เสรี” ระบุ คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจาก “โยนหินถามทาง” ออกมาก่อน ตามสูตรสำเร็จของ คสช. เพราะจริงๆ แล้วสามารถรอให้มีการศึกษาเสร็จสิ้นเสียก่อนก็ได้ค่อยชง ยังมีเวลาอีกมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่นี่กลับเลือก “คลอดก่อนกำหนด”
แม้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะออกมาปฏิเสธเชิงตำหนิไอเดียนี้ ในลักษณะว่าประเทศยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ? แต่ก็ถูกมองว่า เป็นแค่บทๆ หนึ่งที่ถูกเซ็ตมาแล้ว ในฐานะที่ถูกจับจ้องก่อนใครเพื่อนว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยนหินครั้งนี้ย่อมต้องออกตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่มันก็ดูไม่เนียนตาอยู่ดี
เพราะการปฏิเสธไม่ได้ทำให้ข้อเสนอดังกล่าวหยุดนิ่ง แต่มันกลับยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ โดยเฉพาะเมื่อ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซือแป๋ประจำทำเนียบรัฐบาลตอบรับการขอคำปรึกษาจาก “เสรี” พร้อมกับให้กลับไปให้ศึกษาให้ตกผลึกเสียก่อนแล้วค่อยเสนอมา รวมทั้งส่งตัวแทนไปสุมหัวหารือกับทาง สปทงด้วย
ไม่ได้ตีตกหรือปัดทิ้งเสียทีเดียว!
ดังนั้น สิ่งที่ “บิ๊กป้อม” ผู้มากบารมีที่ถูกกล่าวขานกันว่า คอนโทรลได้ทั้ง สนช.และสปท. จึงย้อนแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น และยากที่ใครจะเชื่อว่า ไม่มีเอี่ยว
สมทบกับความเชื่อที่เหล่าแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่ว่าจะเป็น “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ และ “โหวงเหวง” เหวง โตจิราการ ซึ่งฟันธงว่า เป็นการออกกฎหมายเพื่อจงใจช่วยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
เพราะออกมาในช่วงที่แกนนำพันธมิตรฯ กำลังคัดค้านการถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่มี “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็น 1 ใน 4 จำเลย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มี “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นหัวเรือกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเดินหน้าหรือไอ้เสือถอย
เสมือนหนึ่งเป็นการยื่นหมูยื่นแมว ให้จบๆ กันไปแบบวิน - วิน!
แต่เมื่อไม่มีใครบ้าจี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นจาก พันธมิตรฯ กปปส. หรือ นปช. ที่ไม่เอาด้วยกับมุก “สารภาพบาป” เพราะยืนยันมาตลอดว่า ไม่ผิด และพร้อมสู่ในกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งเงื่อนไขตามโมเดลนี้หากใครหลับหูหลับตารับ วันข้างหน้ายังหมดสิทธิ์เคลื่อนไหวใดๆ ทางการเมืองเพราะเสี่ยงติดคุกติด ที่สำคัญ บรรดาแกนนำทั้งหลาย โดยเฉพาะที่เป็นนักเลือกตั้งอาชีพอยู่กับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะหมดสิทธิ์เล่นการเมือง
คงไม่มีใครพาตัวเองเข้าไปเป็นลูกไก่ในกำมือ “แป๊ะ”
แต่แม้จะแป้กในหนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายอำนาจจะหยุด เพราะขึ้นชื่อว่า การโยนหินถามทางย่อมไม่ได้คาดหวังอะไรเกินตัวกว่าการขอดูปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ แล้วกลับกันหนนี้อาจเป็นการ “ดีเดย์” ด้วยซ้ำไปว่า รัฐบาลกำลังมีความคิดจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มตัวแบบแยบยล
ฉะนั้น จึงต้องจับตาดูว่า กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมือง สปท. รวมไปถึงนักกฎหมายประเทศไทยอย่าง “วิษณุ” จะไปออกแบบกันใหม่อย่างไรให้แต่ละฝ่ายเซย์เยส ซึ่งถ้าดูจากข้อเสนอดิบๆ ของ “สปท.เสรี” เที่ยวนี้ จะเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งว่า รัฐบาลไม่เลือกใช้วิธีนิรโทษกรรมที่มีการพูดถึงทุกครั้งเวลาหาทางปรองดอง เพราะวิธีนี้นอกจากจะไม่ได้รับการตอบรับ และเสี่ยงจะเป็นการสร้างความขัดแย้งรอบใหม่แล้ว ยังเป็นการเดินตามรอยเท้าของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
หากเป็นเพียงแค่การเดินตามอาจจะไม่อะไรเท่าไหร่ แต่บังเอิญว่า เพราะ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จึงมีการรัฐประหารและมี “รัฐบาลบิ๊กตู่” วันนี้ เรื่องดังกล่าวจึงไม่อาจเกิดขึ้น
ไอเดียกฎหมายรอการกำหนดโทษ เป็นเรื่องที่น่าจับตาไม่น้อย แม้วิธีการวันนี้อาจดูทุเรศทุรังไปหน่อย แต่พอจะทำให้เห็นเค้าลางอะไรบางอย่างว่า รัฐบาลพยายามจะทำเรื่องนี้เหมือนกับที่เคยทำกันมา เพียงแต่เอาจุดบอดของสิ่งที่นักการเมืองพยายามทำๆ กันอยู่มาอุดเสีย
เปลี่ยนแบรนด์ไม่มีนิรโทษกรรมที่คนฟังแล้วเหมือนเป็นการล้างผิด การนำบุคคลต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อนเหมือนที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ย้ำมาตลอด กล่าวคือ พร้อมล้างให้ แต่มีเงื่อนไขกำหนด ไม่ให้น่าเกลียดจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างที่ในอดีตมักมีปัญหาทุกครั้ง
จริงๆ มันก็นิรโทษกรรมอะแหละ แค่รีแบรนด์ เปลี่ยนแซ่ เปลี่ยนวิธีการ ฉบับแป๊ะๆเท่านั้นเอง.