ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่มีปี่มีขลุ่ย อยู่ๆ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ใจดี เปิดรูระบายให้บรรดานักการเมืองออกมาพ่นน้ำลายในเวทีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีองคาพยพในแม่น้ำ 5 สาย เข้าร่วมคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตัวแทนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และตัวแทนสภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ทั้งที่ก่อนหน้านี้แค่ถอนหายใจยังถูกเจ้าหน้าที่มองค้อน จ้องจะเรียกมาปรับทัศนคติอยู่หยกๆ บางรายซวยถึงขั้นถูกดำเนินคดี ขึ้นศาลทหาร
ส่วนหนึ่งน่าจะมีผลมาจากกระแสโจมตีเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่คสช.โดนถล่มอย่างหนักจนเป็นมวยเมาหมัดตุปัด ตุเป๋ ไม่ว่าจะเป็นจากภายในประเทศ ที่นักสิทธิมนุษยชนร้องแรกแหกกระเชอกันเอิกเกริก หรือกลไกต่างประเทศที่นัดกันมะรุมมะตุ้มใส่ คสช. แบบเรียงแถวกันมา ตบท้ายด้วยพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ “กลิน เดวีย์”เอกอัครราชทูตมะกัน ยอมเสียมารยาททางการทูต ออกแถลงการณ์ขอให้ไทยหยุดการปิดกั้นเสรีภาพต่อหน้าต่อตา ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ แบบไม่เกรงใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแม้สักนิด
เอาเป็นว่า ที่บอกไม่แคร์ เพราะประเทศเหล่านี้ไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ในประเทศดี เอาเข้าจริงก็ทำ คสช.แกว่งๆ ได้เหมือนกัน เพราะถ้าปล่อยให้นานาชาติตีฆ้องร้องเป่าไปเรื่อยๆ จากจุดเล็กๆ จะกลายเป็นจุดใหญ่ เรียกสายตานานชาติให้หันมามองไทยมากขึ้น ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนงานต่างๆ ระหว่างประเทศ ที่ก็มีข้อจำกัดเดิมอยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า อาจไม่ได้รับความชอบธรรม
การเปิดช่องให้ขยับเขยื้อนได้ แม้จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือจะบอกว่าเป็นการสร้างภาพเพื่อลดโทน ภาพละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คงไม่ผิดนัก ขนาดยุทธศาสตร์ปรับทัศนคติที่เป็นท่าไม้ตายของ คสช.ในการกำราบนักการเมือง “บิ๊กหมู”พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยังออกมาพูดหน้าตาเฉยว่า จะเลิกเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่การทำอย่างนั้น ถือเป็นการปลดเปลื้องเครื่องมืออันสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยของคสช. ทำให้นักการเมืองกระหยิ่มยิ้มย่อง กลับมาสร้างความปั่นป่วนได้
แต่ดูแล้ว คสช.ไม่น่าจะถอยกรูดอะไรกันขนาดนั้น ผลจากการออกมาตีปี๊บลดมาตรการเข้มข้นต่อนักการเมือง น่าจะเป็นเรื่องของการสับขาหลอกเอาเสียมากกว่า เพื่อให้นานาชาติได้เห็นว่า คสช.รับฟัง และไม่ได้ดำเนินการสุดโต่ง อย่างที่ใครเข้าใจ แต่มีมาตรการให้นักการเมืองได้แสดงความคิดเห็น แสดงออกตามครรลองที่ควรจะเป็น ไม่ได้อุดปากอุดจมูก จนทำอะไรกันไม่ได้เหมือนที่ฝ่ายต่อต้านพยายามสร้างกระแสเพื่อให้นานาชาติกดดันคสช. โดยรูปการณ์จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ลามทุ่ง
แล้วก็เป็นอะไรน่าสงสัยไม่น้อย เพราะช่วงเวลา และสถานที่ที่คสช. เลือกเอาไว้แบบฉับพลัน เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์อย่างสโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เคยใช้เป็นสถานที่ทำยุทธการ “ลับ ลวง พราง”ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แบบที่ใครนึกไม่ถึงมาก่อน ชนิดที่นักการเมืองหลายคนยังเข็ดขยาด จำไม่ลืมว่า เคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่
ขณะที่เรื่องวันก็เลือกช่วงเวลาที่ครบรอบ 2 ปีรัฐประหารพอดิบพอดี แบบไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
ดูแล้วคสช.ตั้งใจล้อทั้งวัน ทั้งสถานที่ เพื่อต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างออกมา โดยเฉพาะเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ที่โดนคนนินทาหมาดูถูกอย่างหนักว่า ปิดกั้นฝ่ายตรงข้าม แต่ตัวเองฝอยได้ฝ่ายเดียว ข้อดีพูดได้ ข้อเสียโดนแบน จนเหมือนมัดมือชกประชาชน แต่เวทีนี้ต้องการสื่อออกไปให้เห็นเลยว่า ไม่เป็นความจริง แต่มีการเปิดเวทีให้แสดงออก มีช่องทางให้แต่ละภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ แม้กระทั่งนักการเมือง หรือฝ่ายเห็นต่างก็ตาม
แม้ที่ผ่านมา คสช. จะเชื่อมาตลอดว่าร่างรัฐธรรมนูญสามารถผ่านได้ หากใช้ไม้แข็งหวดพวกตัวป่วนให้สงบนิ่ง ไม่พูดเป็นต่อยหอยเพื่อสร้างกระแสโน้มน้าวใจประชาชนได้ แต่การยอมเปิดเวทีแบบฉับพลันทันด่วนแบบนี้ นั่นหมายความว่า สถานการณ์บางอย่างอาจเปลี่ยนไป จนทำให้คสช.ไม่มั่นใจว่า รัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติแบบสะดวกโยธิน หนำซ้ำยังมีโอกาสถูกคว่ำสูงมากกว่าผ่านเสียแล้ว หลังการใช้ไม้แข็ง เริ่มจะกลายเป็นดาบสองคมให้คนรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียด
โดยเฉพาะพี่น้อง 2 ป.อย่าง “บิ๊กตู่”และ“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ 2-3 วันมานี้ ระดับความมั่นใจดูหดหายลงไป พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ แถมยังหลุดออกมาว่า ถ้าไม่ผ่าน ก็ตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เช่นเดียวกับเรื่องโรดแมปที่เคยยืนยันมาตลอดทุกเวทีว่า ปี 2560 มีเลือกตั้งแน่ แต่ ณ บัดนี้ ชักจะตุปัดตุเป๋ ไม่ชัวร์เสียแล้ว เอาเป็นว่า อาการอย่างนี้ไม่ใช่ลักษณะของคนที่กำลังมั่นใจอยู่แน่
เหมือนๆ จะกำลังหาทางออกกันอยู่ หากจับผลัดจับผลูร่างรัฐธรรมนูญมีอันต้องแท้งจริงๆ เพราะรับปากไปแล้วว่า จะมีการเลือกตั้งในปี 2560 ตะบัดสัตย์อาจเสียผู้เสียคนได้ เรื่องดูเหมือนจะง่ายว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจริงๆ จะเข้าทางคสช. เพราะจะสามารถร่างรัฐธรรมนูญได้ตามใจชอบ เอาแบบสุดโต่งให้เผด็จการเรียกพี่ไปเลย เพราะไม่ต้องทำประชามติสูญเสียงบประมาณอีก 3 พันล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแน่
เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญ“ฉบับซือแป๋มีชัย”มีอันเป็นไปอีกครั้งขึ้นมา ความชอบธรรมในการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่แบบสุดโต่งเหมือนเดิมจะยาก เพราะฝ่ายตรงข้ามจะมีความชอบธรรมสูงกว่าในการเรียกร้อง หรือคัดค้านประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยอ้างเสียงของประชาชนที่ลงคะแนนโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ การฝืนกระแสอีกครั้งในรอบที่ 3 ย่อมทำได้ลำบาก
ถือเป็นโจทย์ที่ยากระดับมหาพระกาฬ เพราะคสช. เองก็แสดงออกชัดว่า ต้องการอยู่รักษาอำนาจต่อไปอีกประมาณ 5 ปีเป็นอย่างน้อยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังไม่ไว้วางใจให้นักการเมืองมาบริหารประเทศ ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นตัวเบิกทางเพื่อวางท่ออำนาจตัวเองไว้ในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง แต่แน่นอนว่ามันจะต้องถูกต่อต้านอย่างหนักกว่าเดิมหลายเท่า เพราะรู้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านเพราะอะไร แต่ยังจะเลือกใส่เข้าไปเหมือนเดิมอีก
เป็นความยากของคสช. ที่ต้องคิดหาทางออกให้ตัวเองพออยู่ได้ ยกเว้นประเมินแล้วว่า ไปไม่รอดแน่ รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ล้มประชามติเสียก่อนวันที่ 7 สิงหาคม
อย่าคิดว่าทหารไม่กล้าเชียวล่ะ !