เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้หากพูดว่าเส้นทางข้างหน้าสำหรับ “สมเด็จช่วง” สมเด็จพระมารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผุ้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หยุดกึกลงอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ได้ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อย เคยย้ำว่าจะยังไม่เสนอแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ตราบใดที่ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ เนื่องจากเป็นการไม่บังควร
แม้ว่าในช่วงนั้นจะยังไม่ชัดนัก เพราะฝ่ายสมเด็จช่วง ยังกดดันหนัก มีความพยายามก่อม็อบที่นำโดย พระมหาธรรมาจารย์ หรือที่รู้จักกันในนามของ “เจ้าคุณประสาร” หรืออดีต “ประสาน หนองพร้าว” ที่เป็นหัวขบวนก่อม็อบ “โล้นห่มเหลือง” ร่วมกับฆราวาสอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อกดดันให้รีบเสนอชื่อแต่งตั้ง “สมเด็จช่วง” ขึ้นเป็นประมุขสงฆ์โดยเร็ว แต่กลายเป็นว่าการก่อม็อบคราวนั้นผลออกมาเป็นตรงกันข้าม เพราะกลายเป็นตัวเร่งทำให้ เส้นทางของ สมเด็จช่วง จบเห่ลงทันที
ภาพความไม่งาม ความไม่เหมาะสม กลายเป็นว่าเป็น “กิจที่ไม่เกี่ยวกับสงฆ์” กลายเป็นว่า ทั้ง “หัวหน้าม็อบ” คนที่มาร่วมก่อม็อบไปจนถึงคนที่นั่งลุ้นอยู่หลังฉากว่าพลังของม็อบที่มีการลงทุนลงแรงวางแผนกันมาอย่างดีจะทำให้ตัวเองได้นั่งตำแหน่งสำคัญ ทุกอย่างกลับพลิกตาลปัตร เพราะสังคมในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในโลกโซเชียลฯมีการเปิดโปงแฉหลักฐานกันออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านยิ่งรู้เบื้องลึกหนาบาง ลุกลามถึงขั้นกระทบไปถึงกิจการของวัดพระธรรมกาย และ ธัมมชโย ที่กำลังลุ้นอยู่ว่าจะต้องคดี “รับของโจร” จากกรณีรับเช็กจากผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนียน คลองจั่นมูลค่ากว่าเจ็ดร้อยล้านบาทหรือไม่อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาสำคัญนั้นปรากฏว่าทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยุคใหม่ ได้สรุปผลการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ในชื่อครอบครองของ สมเด็จช่วงว่ามีการกระทำผิดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การนำเข้า การจดประกอบ การเสียภาษี และยังรวมไปถึงการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ทาง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีดีพิเศษ ได้ระบุว่า เตรียมเชิญสมเด็จมาให้ปากคำกรณีการครอบครองรถดังกล่าวโดยมิชอบภายในสัปดาห์แล้ว นั่นหมายความว่า คดีอาญาก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ว่าจะมีความพยายามเบี่ยงเบนทำให้เป็นเรื่องว่า “ตัวเองถูกหลอก” ถูกหลอกขายรถยนต์ที่ผิดกฎหมาย โดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่องและต้องกลายเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ผู้ต้องหา และกำลังนำรถไปคืนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำนองว่า เมื่อเอารถไปคืนแล้วทุกอย่างก็จบ ไม่มีความผิด ซึ่งมาแบบเดียวกันกับกรณีของ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่เคยถูกดำเนินคดีฐานยักยอกที่ดินวัด ต่อมาก็นำไปคืน จนมีการถอนฟ้อง คดีก็ยุติ หรือแม้แต่ล่าสุดเรื่องเงินบริจาคของผู้ต้องหาเมื่อนำเงินไปคืนแล้วอ้างว่าจบเรื่องกันแล้ว
กรณีของรถเบนซ์โบราณ ของสมเด็จช่วงก็เช่นเดียวกัน มีความพยายามอ้างว่าตัวเองไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นเรื่องของลูกศิษย์ที่นำรถมาบริจาค หรือบริษัทที่ขายรถให้ทำผิดกฎหมาย และเมื่อนำรถไปคืนดีเอสไอแล้วถือว่าตัวเองไม่เกี่ยว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำพูดของ ทั้งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่กำลังเดินหน้าตรวจสอบความถูกต้องอย่างเต็มที่ นอกจากกรณีของดีเอสไอที่กำลังเชิญให้ สมเด็จช่วงมาให้ปากคำในสัปดาห์หน้าแล้ว ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงกรมศุลกากรของกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้ตรวจสอบในเรื่องการนำเข้าและการเสียภาษีว่าถูกต้องหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับใครบ้าง งานนี้ถึงได้บอกว่ามีหนาว
ที่สำคัญ จากคำพูดของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า กระบวนการตรวจสอบคาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 เดือน นั่นก็หมายความว่า ภายในช่วงเวลาดังกล่าว สมเด็จช่วง ก็ “ติดแหง็ก” ไปไหนไม่ได้ อย่าว่าแต่เรื่องจะได้รับการเสนอชื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่หรือไม่เลย เพราะไม่ต้องพูดถึงแล้ว ในตอนนี้ขอเพียงเอาตัวให้รอดจากคดีอาญาเรื่องครอบครองรถก่อนก็ถือว่าโชคดีแล้ว
แม้ว่าล่าสุดยังมีการเคลื่อนไหวแบบเดิมนั่นคือ การก่อม็อบกดดันโดย พระเมธีธรรมาจารย์ เจ้าเก่า ออกมากดดันให้เสนอชื่อ สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่อีกรอบ และล่าชื่อถอดถอนผู้ตรวจการแผ่นดิน หลังจากผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาระบุว่ามติของเถระสมาคม ทำผิดขั้นตอน แต่อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ทำไม่ได้ เนื่องจากถูกขัดขวางจากตำรวจ และทุกอย่างก็เงียบเสียงลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังในการกดดันเริ่มเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ
ดังนั้น นาทีนี้ถ้ากล่าวย้ำกันอีกทีสำหรับเส้นทางข้างหน้าของ “สมเด็จช่วง” หรือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่นั้นน่าจะจบสิ้นลงแล้ว เพราะในความเป็นจริงจากสิ่งที่เป็นอยู่ ก็คือ ลุ้นอยู่ว่าจะถูกดำเนินคดีอาญาหรือไม่จากกรณีครอบครองรถโบราณโดยมิชอบ ซึ่งกระบวนการตรวจสอบต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบเดือน ทำให้ความเป็นจริงแล้วคงเป็นไม่ได้ที่พระสงฆ์ที่มีประวัติด่างพร้อยแบบนี้ จะถูกเสนอชื่อขึ้นเป็นประมุขสงฆ์ ทุกอย่างจึงจบเห่ เหมือนกับที่พูดว่า “มันจบแล้วนาย” !!