เมืองไทย 360 องศา
เป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว สำหรับการโพสต์ภาพและข้อความแบบความหมายแฝงของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกหา “การปรองดอง” ข้ามประเทศ เอาเท่าที่จำได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนักก็คือ เมื่อราววันที่ 30-31 ตุลาคม ก่อนที่จะมีการรณรงค์ใส่เสื้อแดง พร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่กำลังถูกดำเนินคดีอาญาในคดีความผิดจากโครงการรับจำนำข้าว และจะตามมาด้วยคดีทางแพ่งที่ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย ในคราวนั้น ทักษิณ ได้พูดเป็นนัยถึงเทรนด์สีแดงที่อ้างว่าจะมาแรงในปีหน้าหรือในอนาคต
จากนั้นก็มีการโพสต์ภาพและข้อความในโซเชียลมีเดียมาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งจะเป็นลักษณะในการใส่เสื้อสีแดง รวมทั้งข้อความในเรื่องของการ “ปรองดอง” โดยใช้สัญลักษณ์ “สีเหลือง กับสีแดง”
ล่าสุดก็ได้ปล่อยมุกเด็ดระหว่างที่โพสต์ข้อความอวยพรวันเกิดอดีตภรรยา คือ พจมาน ณ ป้อมเพชร และปล่อยภาพที่เขายืนแอ็กท่าอยู่ตรงกลางหุ่นสีแดงและสีเหลือง รวมทั้งพูดถึงเรื่องการปรองดองอีกครั้ง พูดถึงบ้านเมืองสามัคคี ซึ่งแน่นอนว่าทุกช็อตของคนคนนี้ย่อมต้องผ่านการวางแผนและหวังผลตามมาทั้งสิ้น
แต่หากสังเกตนี่คือ ความเคลื่อนไหวในมุมของ ทักษิณ ชินวัตร ล้วนออกมาในโทนของการยื่นมือมาแตะ เป็นท่าทียื่นข้อเสนอในลักษณะปรองดองออกมาอย่างถี่ยิบ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในมุมของพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ที่ออกมาในทางเดียวกันนั่นคือ มีการถล่มทั้งรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หนักมือมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องกล่าวหาเรื่องความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง รวมไปถึงการคัดค้านการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยคณะกรรมการยกร่างฯ ในชุดของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ทั้งในเรื่องวิธีการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนคะแนน นายกฯ คนนอก รวมทั้งการให้พรรคการเมืองประกาศรายชื่อผู้ที่สนับสนุนเป็นนายกฯให้ประชาชนทราบก่อนการเลือกตั้ง
ล่าสุดที่กำลังขยายผลและถล่มหนัก ก็คือ กรณีปมทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ของกองทัพบกที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยฝ่ายกฎหมาย และสมาชิกพรรคคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง ต่างออกมาเรียกร้องให้มีการสอบสวนเรื่องที่พวกเขาอ้างว่า “ไม่ชอบมาพากล” ดังกล่าวอย่างโปร่งใส จากหน่วยงานอิสระภายนอก เช่น จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการสอบสวนเป็นการภายในโดยกล่าวหาในทำนองว่ามีการ “ปกปิด” ความจริงบางอย่าง
ขณะเดียวกัน ที่น่าเจ็บปวดก็คือ มีการอ้างถึงนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำหนดในเรื่องการปราบปรามทุจริตให้เป็นวาระแห่งชาติ ดังนั้น เมื่อสังคมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็ต้องมีการตรวจสอบกันอย่างโปร่งใส
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาหากพิจารณากันตามความเป็นจริง ตามความรู้สึกของชาวบ้านก็ต้องบอกว่า “ไม่เคลียร์” และ “เสียอารมณ์” กับวิธีการสอบสวนของกองทัพบกที่นำโดย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาชุดหนึ่ง จากนั้นก็มีการแถลงว่า “ไม่พบการทุจริต” จากโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยใช้วิธียืนยันว่าทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีเรื่องทุจริต และยืนกรานไม่ให้หน่วยงานจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. สตง. หรือหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ อ้างว่าไม่มีเรื่องทุจริต อีกทั้งยังระบุว่าการตั้งคณะกรรมการขึ้นมานั้นเป็นเพียงการตรวจสอบจำนวนเงินที่มาที่ไปและความถูกต้องก่อนเข้ามาช่วงต่อเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ
แน่นอนว่า ด้วยบุคลิกและน้ำเสียงดุดันแบบทหาร และการประกาศที่ทำให้สังคมเข้าใจว่า “เขตทหารห้ามเข้า” แบบนั้น มันก็ย่อมเป็นเหยื่ออันโอชะของฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้ามอย่างพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงบรรดากลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และ คสช. มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ได้เห็นการออกมารุมถล่มทั้งจากพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง รวมไปถึงกลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการ ขณะเดียวกัน ในโลกสังคมออนไลน์ก็มีการเสียงนินทาขยายความออกไปกันไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งหากยังดับความสงสัยแบบนี้ไม่ได้มันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าพลังที่พยุงรัฐบาลและ คสช.เอาไว้ได้ตลอดที่ผ่านมามาจาก “ความศรัทธา” ของชาวบ้านที่มีให้ต่างหาก
สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร กับพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ โดยเฉพาะอาศัยจุดอ่อนเรื่องปมสงสัยเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเฉพาะเรื่อง “หัวคิว” เงินบริจาค มาเป็นเงื่อนไขเรียกร้อง ก็เป็นเรื่องที่พอมองออกว่า นี่คือ “เกมกดดัน” เป็นลักษณะ “เล่นสองหน้า” ทางหนึ่งเสนอเรื่อง “ปรองดอง” ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ไฟเขียวให้เครือข่ายเปิดเกมถล่มรัฐบาล คสช. และกระทบไปถึงกองทัพจากโครงการดังกล่าว ความหมายก็คือหากยังไม่ลดราวาศอกในเรื่องคดี โดยเฉพาะแพ่งที่อาจมีผลต่อการยึดทรัพย์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในภายหน้าก็ลงมือหนักข้อยิ่งกว่าเดิม
โดยเฉพาะเรื่องการเคลื่อนไหวด้านมวลชน หากสังเกตจะเห็นว่าในช่วงเวลานี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกเดินสายพบปะกับชาวบ้านทั้งในแถบภาคอีสาน และภาคเหนือ ที่เป็นฐานเสียงสำคัญอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่เวลานี้ทางรัฐบาล คสช. รวมทั้งกองทัพได้เริ่ม “เปิดแผล” ให้เห็นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถ “เคลียร์” กับสังคมจนพอใจหรือไม่ ซึ่งอย่างหลังนี่แหละคือจุดชี้ขาด
ดังนั้น เรื่องนี้ต้องแยกออกมาสองส่วนนั่นหนึ่งคือ “เกม” ของทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการกดดันให้เคลียร์คดีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และส่วนที่สองก็ขึ้นกับว่าทางกองทัพ จะสามารถตัด “เงื่อนไข” ดังกล่าวออกไปได้หมดจดแค่ไหน เพราะหากยังคาใจก็จะโดนถล่มจากฝ่ายตรงข้ามหนักมือขึ้นเรื่อยๆ!!