เมืองไทย 360 องศา
เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อยสำหรับบทบาทและความเคลื่อนไหวของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงนี้ เพราะจะเห็นว่ามีการสื่อสารกับสังคมผ่านทางโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงการลงพื้นที่ในภาคอีสานพบปะกับมวลชนในลักษณะถี่มากขึ้นจนผิดสังเกต
ก่อนหน้านี้ก็ไปร่วมงานบุญทอดกฐินที่จังหวัดอุบลราชธานี ชนิดที่ในทางการเมืองต้องบอกว่านี่คือการ “ปาดหน้า” แบบยั่วโมโหกันเลยทีเดียว เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคิวที่กำหนดการล่วงหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงไปเยี่ยมเยียนประชาชนและติดตามงานตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่เดียวกัน
หากพิจารณากันให้ดีก็จะเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พี่ชายของเธอคือ ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหวให้เห็นมากขึ้น ไม่ได้เก็บตัวปิดปากเหมือนแต่ก่อนแล้ว อย่างทักษิณก็เพิ่งจะรณรงค์ใส่เสื้อแดงมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และล่าสุดก็ยังอยู่ที่ฮ่องกงยังใส่เสื้อแดงมากินก๋วยเตี๋ยวที่นั่น ขณะที่บรรดาเครือข่ายในพรรคเพื่อไทยก็ได้จังหวะดาหน้ากันออกมาถล่มทั้งรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กันแบบไม่ยั้ง
นั่นเป็นอาการและความเคลื่อนไหวของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ที่มองว่าถึงเวลาที่ต้อง “เริ่มจัดหนัก” กับฝ่ายตรงข้าม พูดตรงๆ ก็คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ งานนี้พุ่งเป้าถล่มไปทั้งระดับหัวขบวนและทำลายเครดิตขององค์กรกันเลยทีเดียว แน่นอนว่านี่คือการแลกหมัดตอบโต้กันแบบไม่ต้องยั้งเหมือนก่อนแล้ว
อย่างที่เคยชี้ให้เห็นภาพมาแล้วหลายครั้งว่า คราวนี้อาจเป็นศึกหนักที่สุดของครอบครัวทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คง “เอาจริง” เพราะมีการท่าทีชัดเจนเป็นสัญญาประชาคมเอาไว้แล้วหลายครั้งว่า “ไม่ปรองดองกับคนทำผิดกฎหมาย” นั่นคือใครมีคดีต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที และที่น่าจับตาก็คือประกาศให้ทราบทั่วกันคือ ทุกคดีต้องดำเนินให้เสร็จสิ้นภายในปี 2560
ดังนั้น เมื่อ “เคลียร์ไม่ได้” ต้องขึ้นศาลอย่างเดียว สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวจึงมีความเสี่ยงที่ต้องเอาขาแหย่เข้าคุก ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงที่มีบางคนต้องเสี่ยงต่อการถูก “ยึดทรัพย์” ตามรอยของตัวเองอีกด้วย นั่นคือคดีที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังจะถูกคำสั่งทางปกครองบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายจาก “โครงการรับจำนำข้าว” ที่คาดว่าตามตัวเลขไม่น่าจะต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังลูกชายคือ พานทองแท้ ชินวัตร ที่กำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษขุดคุ้ยเส้นทางการเงินเพื่อหาความเชื่อมโยงจากคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยในอดีต นี่ว่ากันเฉพาะเท่าที่จำได้ หรือเป็นคดีที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมเท่านั้น
เมื่อทุกอย่างจวนตัวบีบรัดเข้ามาเรื่อยๆ มันก็ต้องดิ้นรนหาทางรอดเป็นธรรมดา และอย่าได้แปลกใจที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวตอบโต้กลับมาที่แม้ว่าดูแล้วไม่ได้รุนแรงอะไร แต่ในทางการเมืองการเมืองอาการแบบนี้ถือว่า “เข้มข้น” อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นว่าการลงพื้นที่ภาคอีสานของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมมีความหมาย อย่างน้อยก็เป็นการเช็กเรตติ้งมวลชน ตามมาด้วยจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 2 ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอความเป็นธรรม ความหมายก็คือกรณีที่ถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญา และจะตามมาด้วยคดีแพ่งจากโครงการรับจำนำข้าวนั้นไม่ยุติธรรมสำหรับเธอ
ที่น่าจับตาก็คือ เธอยังอ้างถึงชาวนาว่าต้องเจ็บปวดไปกับเรื่องนี้ เนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวได้ช่วยให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ สามารถปลดเปลื้องหนี้สิน ที่สำคัญยังมีวาทกรรมที่ปล่อยออกมาทำนองว่า “หนูมีโอกาสได้เรียนหนังสือก็เพราะนโยบายจำนำข้าว” และล่าสุดที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปล่อยทีเด็ดออกมาผ่านทางโซเชียลฯ ที่ย้ำว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ใช้คำสั่งอยู่เหนืออำนาจศาล และทีเด็ดก็คือคำกล่าวที่ว่า “แม้จะยึดทรัพย์ของเธอ แต่ชาวนาไม่ได้ประโยชน์อะไร”
หลายคนคงเชื่อว่านี่อาจไม่ใช่มาจากความคิดและคำพูดของเธอแน่นอน แต่รับรองว่าเป็นการวางแผนมาอย่างดีจากทีมงานกุนซือ ซึ่งเป็น “แผนบีบน้ำตา หลังพิงมวลชน” รวมทั้งใช้วาทกรรมบิดเบือนความจริง ไม่เน้นสู้กันด้วยพยานหลักฐานข้อเท็จจริง แต่หันไปเล่นในหลักการรวมๆ เช่น มาตามระบอบประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง หรือเผด็จการไม่มีความชอบธรรมในการ “กำจัด” เธอ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นธรรมดาที่ต้องเริ่มมีจุดอ่อนหรือมีบาดแผลให้เห็นบ้าง กรณีที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่แม้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความผิดส่วนบุคคล แต่มันก็สามารถพาดพิงไปถึงองค์กรและระดับนำขององค์กร เช่น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งที่ผ่านมาก็ตอบคำถามไม่เคลียร์ ดูเหมือนมีการปกปิดช่วยเหลือกันเองจนทำให้สังคมเสียความรู้สึกไปไม่น้อย กว่าจะตั้งลำแก้เกมด้วยการที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน ยืนยันว่ากันตามกฎหมายใครทำผิดก็ต้องลงโทษไม่ละเว้น
นอกจากนี้ยังมีการชี้แจงแบบละเอียดยิบของ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ถึงขั้นตอนการดำเนินการกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ที่แม้ว่าจะเป็นการออกคำสั่งทางการปกครองบังคับในที่สุดก็ต้องไปจบที่ศาลอยู่ดี และสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาก็เคยมีการใช้วิธีการแบบนี้มาแล้วหลายกรณีเช่น คดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง คดีคลองด่าน เป็นต้น ยืนยันเป็นไปตามขั้นตอน ตามหลักนิติธรรม ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง
เอาเป็นว่าทั้งสองเรื่องหนักดังกล่าวต้องบอกว่ารัฐบาล และคสช.รีบ “เคลียร์คัต” ตัดเกมได้แบบทันท่วงทีใช้ได้ทีเดียว หรือใช้คนที่พูดเข้าใจง่ายชี้แจงให้เคลียร์ก็สามารถลดดีกรีลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็หยุดไม่ให้ลามไปได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวที่หนักๆ หวังผลทำลายล้างในอนาคตอันใกล้จะต้องออกมาอีก เพราะรู้กันอยู่ว่า “เดิมพันสูง” ในเรื่องยึดทรัพย์ ก็ต้องหาช่องหาจังหวะอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งฝ่ายรัฐบาลและ คสช.ก็ต้องไม่เปิดแผลให้เห็นอีก เพราะยิ่งนานก็สิ่งเสี่ยงสูงโดยเฉพาะเรื่องอ่อนไหวอย่างการทุจริต...อย่าพลาดเป็นอันขาด!