ประชุม สนช.เปิดซักถามคู่กรณีคดีถอดถอน “สมศักดิ์” ร่ำรวยผิดปกติ ป.ป.ช.ยันยึดหลัก กม.ชี้มูล กมธ.เปิดทางเจ้าตัวแจง 8 คำถาม โวเป็นนักการเมืองน้ำดี อ้างไม่ยอมรับเป็นบ้านตนเพราะยังเป็นชื่อพี่เมีย แจงผู้ใหญ่-เพื่อนฝูงช่วยทุนเลือกตั้ง ไม่กล้าขอโอนเข้าบัญชี รับไม่แจงบัญชีเงินสดเพราะเก็บไว้ใช้ฉุกเฉิน แฉเลือกตั้งหาเสียงเกิน 1 ล้านแต่รายงานแหกตา ข้องใจเหมือนโดนเรื่องปกปิดบัญชีมากกว่า ชี้ชะตา 13 พ.ย.
วันนี้ (5 พ.ย.) ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อพิจารณาการถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต รมว.ศึกษาธิการ พรรคชาติไทย ร่ำรวยผิดปกติ กรณีการสร้างบ้านมูลค่า 16 ล้านบาท ที่ จ.อ่างทอง โดยเป็นขั้นตอนการซักถามคู่กรณี คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีนายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช.เป็นตัวแทน และนายสมศักดิ์
โดยนายนิรวัฒน์ ปุณณกัณต์ ตัวแทนกรรมาธิการฯ ได้ซักถาม ป.ป.ช.ว่า บ้านดังกล่าวสร้างเสร็จก่อนปลายปี 2540 ก่อนหรือหลังนายสมศักดิ์ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาฯ ก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการถอดถอนออกจากการดำรงตำแหน่งหรือไม่ และใช้หลักการอะไรที่ ป.ป.ช.ส่งมาให้ สนช.ถอดถอนข้อหาร่ำรวยผิดปกติ การที่นายสมศักดิ์ได้เงินสนับสนุนจากพรรคชาติไทยกว่า 20 ล้านบาท พฤติการณ์ดังกล่าวครบองค์ประกอบในการถอดถอนหรือไม่ และเหตุใด ป.ป.ช.จึงไม่เชื่อหลักฐานและพยานที่นายสมศักดิ์กลับคำให้การในภายหลัง
นอกจากนี้ การระบุว่าเงินที่นายสมศักดิ์ใช้สร้างบ้าน เป็นเงินก่อนดำรงตำแหน่งหรือไม่ หากใช่ ใช้เหตุผลใดชี้มูล และ ป.ป.ช.พบหลักฐานใดที่เห็นว่านายสมศักดิ์ได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบจากการดำรงตำแหน่ง และ ป.ป.ช.เคยเรียกข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการมาไต่สวนหรือไม่ ทั้งนี้ การที่ ป.ป.ช.มีมติทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย อยากทราบว่า ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยใช้เหตุผลใดในการเห็นว่านายสมศักดิ์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา เสียงข้างมากใช้เหตุผลใดในการหักล้าง ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ได้นำหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศมาพิจาณาหรือไม่ และได้ดำเนินการตรวจสอบว่านายสมศักดิ์ได้แสดงรายการเงินสดในบัญชี และแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรือไม่
ด้านนายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช.กล่าวตอบข้อซักถามว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยว่านายสมศักดิ์จงใจยื่นทรัพย์สินเป็นเท็จ มีคำพิพากษาห้ามนายสมศักดิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี และมีโทษอาญา ซึ่งเป็นเรื่องของการจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ไม่เกี่ยวข้องกับการถอดถอน แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกัน เชื่อมโยงกัน เพราะนายสมศักดิ์ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ สำหรับการพิจาณาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ กระบวนการพิจาณาของ ป.ป.ช.นั้นใช้หลักการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช.ปี 2542 ในมาตรา 4 คือ มีทรัพย์สินมากกว่าปกติ หมายถึง มีทรัพย์สินมากกว่าฐานะเกินกว่าปกติที่จะมีได้ รวมถึงคำว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยการเปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาหนึ่งไปยังช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงตรงนี้ได้
“เงินที่ได้ตัวสนับสนุนจากพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องชี้แจงว่ามีที่มาของรายได้อย่างไรบ้าง สัมพันธ์กับรายจ่ายหรือไม่ จากการตรวจสอบมาพบข้อเท็จจริงว่า เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายส่วนได้นำไปซื้อหุ้น และกองทุนจากตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้นเงินที่เหลือจึงไม่เพียงพอต่อการสร้างบ้าน ป.ป.ช.จึงมีมติว่ามีความร่ำรวยผิดปกติ เพราะทรัพย์สินและรายได้ ไม่สมดุลกัน ส่วนการกลับคำให้การนั้น ครั้งแรกนายสมศักดิ์ระบุว่าเป็นเงินของโรงสีในครอบครัว แต่กรณีที่ยื่นทรัพย์สินเป็นเท็จ และศาลวินิจฉัยโดยให้ข้อเท็จจริงว่าเป็นเงินสนับสนุนพรรค นายสมศักดิ์จึงใช้ประเด็นของศาลมาเป็นประเด็นการต่อสู้ เหตุลที่ ป.ป.ช.ไม่เชื่อ เพราะมองเป็น 2 ความเห็น เนื่องจากเสียงข้างมากเห็นว่าเงินสนับสนุนพรรค ไปซื้อหุ้นและกองทุนจากตลาดหลักทรัพย์ซึ่งจะทำให้ไม่มีเงินเพียงพอในการสร้างบ้าน และการปลูกสร้างบ้านระหว่างที่นายสมศักดิ์เป็นรัฐมนตรีช่วยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เกิดขึ้นในปี 2541-2543 การอ้างเงินสนับสนุนดังกล่าว ในเรื่องการซื้อหุ้นจึงไม่สมเหตุสมผลที่จะเพียงพอต่อการปลูกสร้างบ้าน” นายณรงค์กล่าว
แจงไม่เรียก ขรก.สอบปากคำเหตุไม่เกี่ยวคดีทุจริต
ส่วนการไต่สวนคดีร่ำรวยผิดปกติ และคดีทุจริต เป็นกลไกตามกฎหมาย ป.ป.ช.ในเรื่องของการตรวจสอบกรณีการทุจริต ต้องยอมรับว่าการไต่สวนคดีทุจริตส่วนใหญ่เราไม่พบพยานหลักฐานว่ามีการทุจริต ดังนั้นในกฎหมายจึงบัญญัติกลไก โดยเพิ่มในกรณีร่ำรวยผิดปกติ แม้จะมีกลไกเรื่องร่ำรวยเป็นกลไกเสริมศักยภาพในการดำเนินการกลไกด้านการปราบปราม ทั้งนี้ ป.ป.ช.ไม่เคยเรียกผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการมาสอบปากคำ เพราะไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับการทุจริตในขณะนั้น แต่เราตรวจสอบเรื่องร่ำรวยผิดปกติว่ามีที่มาอย่างไร จึงไม่จำเป็นต้องเรียกข้าราชการระดับสูงของประทรวงมาสอบปากคำ
นายณรงค์กล่าวต่อว่า การลงมติของ ป.ป.ช.ที่ผ่านมาเสียงข้างมากเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บ้านหลังดังกล่าวนายสมศักดิ์ปลูกสร้างในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง รมช.จนถึง รมว. ซึ่งในเรื่องที่มาของเงินรวมทั้งหลักฐานที่ได้จากสถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง ได้ข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกัน ว่าบ้านหลังดังกล่าวเริ่มตอกเสาเข็มตั้งแต่ปี 2541 ส่วนเสียงข้างน้อยเห็นว่านายสมศักดิ์นอกจากจะอ้างที่มาของรายได้ที่ปรากฏข้อเท็จของศาล ภาษีเงินได้ปี 2541-2543 และยังปรากฏไดอารีว่ามีผู้สนับสนุน
ดังนั้น เสียงข้างน้อยพอจะรับฟังได้ว่าอยู่ในสถานะที่น่าจะปลูกสร้างบ้านได้ เสียงจึงออกมาเป็น 6 ต่อ 3 นอกจากนี้ หลักฐานภาพถ่ายทางอากาศนั้นนายสมศักดิ์ เพิ่งจะนำมาต่อสู้ในชั้น สนช. แต่ไม่ได้นำมาต่อสู้ในชั้น ป.ป.ช. ส่วนเรื่องของการยื่นรายการแสดงเงินสดนั้น ทุกครั้งที่นายสมศักดิ์ยื่น ไม่เคยยื่นรายการเงินสด จึงไม่มีประเด็นที่ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบ
จากนั้นเป็นการซักถามนายสมศักดิ์ 8 คำถาม เช่น เคยเป็น รมว.ศึกษาธิการซึ่งต้องเป็นต้นแบบด้านคุณธรรม จริยธรรม จากการที่แถลงตัดค้านคำโต้แย้งสำนวน ป.ป.ช.ได้ยอมรับต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าเป็นบ้านของตน ทั้งที่ชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้ปฏิเสธมาตลอด เหตุใดจึงไม่ยอมรับหรือจำไม่ได้แต่เบื้องต้นว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของตน และทำไมให้การขัดแย้งและมีพยานหลักฐานใดในการรับเงินสนับสนุนจากพรรคชาติไทยแต่ละครั้งและคนที่สนับสนุนต่างให้ใช้ทางการเมือง เหตุใดไม่โอนเงินเข้าธนาคารโดยตรง เมื่อสร้างบ้านเสร็จเหตุใดไม่แจ้งต่อนายทะเบียนเพื่อจดแจ้งทะเบียนและซื้อเจ้าของบ้าน เงินที่แจ้งว่าได้รับจากพรรคการเมืองต้นสังกัด และผู้ให้การสนับสนุนน่าจะมีวัตถุประสงค์ช่วยทางการเมือง ทำไมนำไปใช้การสร้างบ้านซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตน และตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งมีการกำหนดค่าใช้จ่าย แต่จากบัญชีบันทึกประจำวันของนายสมศักดิ์ ระบุว่า ปี 39 ได้รับเงินมา 41 ล้านบาทเศษ ใช้จ่ายในการเลือกตั้งไป 23 ล้านบาทเศษ เหลือ 17 ล้านบาทเศษ ยืนยันได้หรือไม่ว่าได้นำของพรรคมาสร้างบ้านดังกล่าว และมีการใช้เงินในการเลือกตั้งเกินที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ และหลังจากมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 2542 มีผลบังคับใช้ ให้นักการเมืองที่มีเงินสดตั้งแต่ 2 แสนบ้านขึ้นไปต้องยื่นแสดงรายการต่อ ป.ป.ช. ทำไมจึงเก็บเงินสดไว้ในตู้นิรภัย
นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า เมื่อตนตัดสินใจมาเดินบนถนนการเมืองได้ตั้งปณิธานว่าจะเป็นนักการเมืองที่ดี ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย ที่สำคัญเรื่องคุณธรรมนักการเมืองต้องอยู่ในสำนึกตลอดเวลา ขณะที่เล่นการเมือง 30 ปีเต็ม ไม่เคยถูกสังคมวิจารณ์ว่าน้ำเน่า ตกยุค ตกขอบ ตรงข้ามจะเห็นข่าวของตนในทางบวก เมื่อมาเป็น รมว.ศึกษาฯ จำเป็นต้องให้สังคมเน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ปลูกฝังเด็กเยาวชนวัยเรียนมาตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขาดต่อมจริยธรรมหรือคุณธรรม ตนได้ชี้แจงในวันเปิดคดีว่าการยื่นบัญชีครั้งแรกเมื่อมีรัฐธรรมนูญปี 40 ได้ยื่นในนามห้างหุ้นส่วนโรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ ว่ามีเงินที่เหลือจากการเลือกตั้งส่วนหนึ่งที่ตนยังไม่ได้ใช้ และนำมามอบให้กับโรงสี ตอนนั้นยังเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน แต่หลังจากปี 41 มาเป็น รมช.ศึกษาธิการตนยื่นครั้งที่ 2 ตนสอบถามเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ว่าบัญชีห้างหุ้นส่วนจำเป็นต้องยื่นหรือไม่ เพราะไม่มีชื่อตน มีแต่ชื่อภรรยาเป็นหุ้นส่วนเสียงส่วนน้อย ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องยื่น ตั้งแต่นั้นมาตนก็ไม่ยื่นอีกเลย จนเป็นที่มาที่ศาลชี้ว่าตนจงใจปกปิด และยื่นความเท็จ และถูกจำคุก 6 เดือน แต่โทษรอลงอาญา ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี ถูกปรับอีก 1 หมื่นบาท
ส่วนเงินที่ตนนำไปให้โรงสีแล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะนำไปซื้อที่ดินปลูกบ้านในช่วงต่อมาโดยมียอดเงิน 37 ล้านกว่าบาท ต่อมาทางโรงสีมีความเห็นว่าตนเริ่มเติบโตทางการเมืองเมื่อปี 38 ได้เป็นโฆษกรัฐบาล จะมีสื่อมวลชนมาหาทุกวันหยุดที่ จ.อ่างทอง บ้านตนเป็นร้านขายข้าวสารเล็กๆ ทางภรรยาเห็นว่าเมื่อเริ่มเติบโตรู้จักของสังคมน่าจะมีบ้านส่วนตัวไว้รับรองแขก เลยมอบหมายให้พี่ชายภรรยาคือนายไพโรจน์ ฉัตรบริรัตน์ เป็นคนไปดำเนินการทั้งหมด ส่วนที่ว่าทำไมตนจำไม่ได้และไม่ยอมรับว่าเป็นของตน ก็เพราะเอกสารหลักฐานราชการทั้งหมดเป็นชื่อของนายไพโรจน์ ถึงวันนี้แม้ว่าศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นของตน ทุกอย่างก็ยังเป็นของนายไพโรจน์หมด และมีตำแหน่งนายกเทศบาลตำบลท่าช้าง ก็มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินก็ยังมีโฉนดและบ้านหลังนี้อยู่
“แล้วผมจะทำอย่างไรเพราะเขาไม่ได้โอนสิทธิมาให้ ผมแค่เขยไม่ใช่ลูกชาย จะไปบอกว่าศาลตัดสินว่าเป็นของกูแล้วต้องเอามาหรือ ผมยังมีคุณธรรมจริยธรรมและต่อมหิริโอตตัปปะยังอยู่ในตัว จึงต้องปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป หลังจากเรื่องนี้จบลงไม่รู้จะแพ้หรือชนะ ทั้งใน สนช.และในศาล ก็คงจะต้องเคลียร์กันให้จบ ถ้าชนะมาเล่นการเมืองต่อ เขาไม่ยกที่ดินให้ถามว่าจะยังมีน้ำหน้ามาแจ้งบัญชีทรัพย์สินอีกมั้ย ทั้งหมดไม่ได้ขัดแย้งเลย เมื่อถูกกล่าวหาว่าปกปิด หลังจากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินเป้นของผม แต่หลังพ้นตำแหน่งมาแล้ว และเมื่อไม่มีการโอนจะไปปรักปรำว่าของผมเป็นไปไม่ได้ เมื่อมาต่อสู้ร่ำรวยผิดปกติผมก็ต้องยกคำวินิจฉัยของศาลเรื่องที่มาของเงินมาต่อสู้อย่างนี้จะให้เป็นอย่างอื่นอย่างไร”
นายสมศักดิ์กล่าวว่า เนื่องจากตนเป็นผู้รับ ไม่ใช่ผู้ให้ และธรรมเนียมปฏิบัติไปถามนักการเมืองทุกคนที่ไม่ใช่นายทุนพรรคที่ต้องรับเงินสนับสนุนจากพรรคว่าเขารับกันอย่างไร พรรคไม่มีทางจ่ายเงินสดจำนวน 20-30 ล้านให้นักการเมืองคนนั้นเอาไปครั้งเดียว และไม่มีทางโอนเข้าบัญชีให้นักการเมืองคนนั้น ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญปี 40 และมีองค์กรอิสระต่างๆ สมัยนั้นกระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งและกำหนดค่าใช้จ่าย1คนไม่เกิน1ล้านบาท ถามว่าพรรคการเมืองที่ต้องไปดูแลนักการเมืองเกรดต่างๆจะกล้าหรือไม่ จึงเป็นไปไม่ได้ พรรคจะมีหนังสือแจ้งให้วิปของพรรคไปแจ้งว่าวันนี้ให้มาที่พรรคหรือให้ไปพบกับใคร นักการเมืองก็ไปพบแล้วมีหิ้วลังหิ้วถุงเอากลับไป โดยนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น มองเห็นมาตลอดว่าขืนปล่อยสภาพให้ซื้อเสียงและจ่ายเงินกันขนาดนี้ต่อไปไม่ประมูลซื้อประเทศไทยกันหรือ จึงคิดให้มีการปฏิรูปการเมือง และเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญปี 40 และองค์กรอิสระ โดยกำหนดค่าใช้จ่ายไว้ชัดเจนใครเกินกำหนดก็จะถูกใบเหลือง ใบแดง แต่ปรากฏการของตนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 29-ปี 39 และประเด็นที่ผู้ให้การสนับสนุนก็จะมาจากมุ้งในพรรคก็จะดูแลเด็กที่เมตตา ตนเป็นคนหนึ่งที่ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา โดยตนได้ขอให้ช่วยมาเป็นพยานว่าให้ส่วนตัวเท่าไหร่ รวมถึงเพื่อนนักการเมืองต่างพรรคที่มีความผูกพันใกล้ชิดก็ช่วยสนับสนุนเช่นกัน แต่ตนกล้าจะบอกหรือว่าช่วยโอนเข้าบัญชีดีกว่าตนไม่บังอาจที่จะบอกเช่นนั้น และ ณ เวลานั้นศาลฏีกายังไม่ได้พิพากษา ทั้งหมดยังเป็นชื่อนายไพโรจน์ และตนลงพื้นที่ตลอด วิถีชีวิตออกแต่เช้ากลับ 4-5 ทุ่ม ตนไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างบ้านนอกจากขอให้เพื่อนออกแบบบ้าน ทั้งหมดไม่เคยรู้เรื่องไม่เคยไปเกี่ยวข้อง เพราะความรู้สึกบอกว่าไม่ใช่บ้านของเราจะไปยุ่มย่ามทำไม จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายไพโรจน์ ตนจึงไม่ไปแจ้งและดำเนินการใดๆทั้งสิ้น
นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า วัตถุประสงค์สำคัญของทุกพรรคการเมืองคือส่งนักการเมืองลงไปแล้วได้รับเลือกมาก็ถือว่าพันธะกิจนั้นจบ แต่ถ้าให้ไปแล้วสอบตกก็ต้องไปติดตาม ว่าเอาเงินไปกอด หรือเพราะอะไร สำหรับตนถือว่าทำหน้าที่สมบูรณ์แบบตรงตามวัตถุประสงค์ การนำเงินไปปลูกบ้านเพราะสภาพบ้านเดิมมีข้อจำกัดคับแคบจึงต้องสร้างบ้านใหม่ที่ใหญ่กว่าเพื่อรับรองชาวบ้านที่มาหา ร้องเรียนตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน และเวลาลงเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงมีเงินเหลือไม่ต้องลงทุนมาก จึงไม่แปลกที่เงินเหลือ ขอยืนยันว่าไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ชาวบ้านก็ได้ด้วยมันสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
นายสมศักดิ์กล่าวว่า นักการเมืองเมืองจำเป็นต้องมีเงินสดสำรองติดบ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นตอนไหนกับชาวบ้าน เช่นเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เวลาจะเลือกตั้งแต่ละครั้งตนต้องดูแล เงินส่วนนี้ลดเร็วมากจึงคิดว่าในความรู้สึกถ้าแจ้งไปแล้ว ซึ่งสมัยนั้นการเลือกตั้งแต่ละครั้งเร็วมากการเมืองไม่เคยนิ่ง แม้แต่มีรัฐธรรมนูญปี 40 แล้วก็ตาม นักการเมืองต้องมีความพร้อมเรื่องเหล่านี้ ก่อนมีพระราชกฤษฏีกาประกาศวันเลือกตั้งต้องใช้เงินทั้งนั้น เชื่อว่านักการเมืองหลายคนก็ไม่ได้ยื่นบัญชีเหมือนกับตน ที่บอกว่าตนต้องถวายสัตย์ว่าจะซื่อสัตย์ สุจริต ขอบอกว่าการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินกับการโกงบ้านโกงเมืองมันคนละประเด็นกัน ตนไม่เคยทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่
ส่วนคำถามที่ว่า ในการแจ้งบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินแต่ละครั้ง มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากพรรคชาติไทยและผู้สนับสนุนบางคน แม้จะอ้างว่าได้มาก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 40 แต่เมื่อมีการใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีการเก็บเงินไว้ ถือว่ามีเจตนาที่จะปกปิดรายการทรัพย์สินใช่หรือไม่ และนายไพโรจน์ เคยยื่นภาษีบุคคลธรรมหรือไม่ และได้แสดงรายได้ปีละเท่าไหร่ นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า ถ้าเจตนานี้ถือว่าปกปิด ตนยอมรับว่าปกปิดเพราะไม่ได้แจ้ง และผลที่ปกปิดตนก็ได้รับโทษอย่างสาหัสมาแล้วถือว่าทุกอย่างตนใช้กรรมไปแล้ว ส่วนเรื่องการยื่นภาษีของนายไพโรจน์นั้นตนไม่ทราบ เพราะบางเดือนไม่เคยเจอแม้แต่โทรศัพท์ และไม่ได้ถามเพราะไม่กล้าไปก้าวล่วงในธุรกิจของทางโรงสี เพราะตอนแต่งงานคนพูดกันเรื่อยว่าตนตกถังข้าวสาร ตนไม่กล้าไปก้าวก่ายว่าจะเสียภาษีหรือไม่ เท่าไหร่ ไม่ใช่วิสัยตนที่จะไปซักถาม
ส่วนเรื่องการใช้ค่าใช้จ่ายเกินวงเงินกำหนด นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า ปรากฏการณ์ทั้งหมดก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 40 โดยมหาดไทยกำหนดให้แต่ละเขตใช้เงินได้ไม่ได้คนละ 1 ล้านบาท จ.อ่างทองของตนเป็นพื้นที่เล็กไม่มีปัญหา
“ยกตัวอย่างเช่น จ.แม่ฮ่องสอน ใช้เงิน 1 ล้านบาท ถามว่าแค่แค่จ้างปิดใบปลิวให้ทั่วจังหวัดซึ่งเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อนพอหรือไม่ หรือมีใครบ้างที่ใช้เงินไม่กิน 1 ล้านบาท ไม่มีใครหรอกครับที่เข้ามาเป็น ส.ส.แล้วใช้เงินไม่ถึง 1 ล้านบาท นอกจากตัวเลขที่แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น ซึ่งมันเป็นข้อเท็จจริงและผมก็ใช้เกิน ซึ่งบางในบันทึกการใช้จ่ายของผมจะเห็นว่ามีการแบ่งการทำงานเป็น 3 ช่วง คือ ตั้งแต่ก่อนยุบสภาใช้เงินส่วนหนึ่ง กำลังรณรงค์หาเสียงใช้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องยื่นต่อผู้ว่าฯ ว่าใช้ไม่เกิน 1 ล้านบาท และช่วงที่สามใช้หลังเสร็จเลือกตั้งที่ก่อนนั้นยังไม่ข้อห้ามเรื่องสัญญาว่าจะให้ และเป็นส่วนที่ตนแบ่งไปสร้างบ้านตามที่เห็น
อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ได้ย้ำว่า ตนอยากทำความเข้าใจว่าญัตติที่ ป.ป.ช.เสนอถอดถอนตนนั้นคือกรณีร่ำรวยผิดปกติ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาฯ แต่จากคำถามทั้ง 8 ข้อที่ถามมานั้น ตนรู้สึกว่ากำลังยื่นถอดในข้อหาปกปิดบัญชี เพราะคดีปกปิดในกฎหมายไม่สามารถถอดถอนได้เพราะผิดอาญากระบวนการทั้งหมดจบแล้ว ขณะที่ประธาน กมธ.ชี้แจงว่า ทุกข้อมูลที่ซักถามก็เพื่อพยายามโยงไปสู่ความเป็นมาของการร่ำรวยผิดปกติ
หลังจากจบกระบวนการซักถามแล้ว นายสุรชัยกล่าวว่า ได้นัดให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาแถลงปิดสำนวนคดีอีกครั้งในวันที่ 12 พ.ย. โดย ป.ป.ช.แจ้งว่าจะแถลงปิดสำนวนด้วยเอกสาร ขณะที่นายสมศักดิ์จะเป็นผู้มาแถลงปิดสำนวนด้วยวาจาเพียงฝ่ายเดียว โดยจะมีการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ในวันที่ 13 พ.ย.ต่อไป