xs
xsm
sm
md
lg

ป.ป.ช.ลากไส้ “เสี่ยตือ” กลับคำให้การศาลคดีบ้านหรู เจ้าตัวอ้างเปลี่ยน รธน.ทำสับสน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ประชุมสนช. ป.ป.ช. แถลงลากไส้ “สมศักดิ์” รวยผิดปกติ - ปกปิดทรัพย์สิน โบ้ยพี่เมียเจ้าของบ้านหรู แต่กลับคำให้การศาลฏีกาอ้างใช้เงินหาเสียง เหรัญญิก ชท. อ้างระบุจ่ายให้ 29 ล. แต่เอกสารภาษีมีแค่ 5.3 ล. เจ้าตัวโต้ทุกข้อหา อ้างช่วงเปลี่ยนผ่านรธน.ทำแจ้งบัญชีสับสน แจงยิบวิธีจ่ายเงินหาเสียงและเลี้ยงลูกพรรค แต่ตนตีตั๋วเด็ก เก็บตังค์ปลูกบ้าน อัดกลับ ป.ป.ช. ไม่รู้จริงอย่าอนุมาน

วันนี้ (29 ต.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ครั้งที่ 64/2558 โดยมี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในที่ประชุม ได้มีการแถลงเปิดสำนวนตามรายงานและความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และการแถลงคัดค้านโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวน หรือรายงานพร้อมความเห็น ของผู้ถูกกล่าวหา ในกระบวนการถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ประกอบมาตรา 56 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2550 และมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2554 ตามข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ว่า ร่ำรวยผิดปกติและจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ที่ไม่แสดงทรัพย์สิน บ้านพักอาศัยเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง

ทั้งนี้ นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช. แถลงเปิดคดีว่า ทาง ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหาว่า นายสมศักดิ์ไว้สองประเด็น เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยประเด็นการยื่นบัญชีแสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ ได้ตรวจสอบความถูกต้องและมีอยู่จริงจากหลักฐานที่ยื่นไว้ สรุปได้ว่า นายสมศักดิ์ ได้ยื่นไว้ 8 ตำแหน่ง 21 กรณี ตั้งแต่ 11 ต.ค. 40 ถึง 2 ธ.ค. 51 ไม่ปรากฏว่าไม่ได้แสดงบ้านพักอาศัย บ้านเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ที่ปลูกบนโฉนดที่ดินเลขที่ 14360 ตำบล อำเภอเดียวกันในทุกตำแหน่งและทุกกรณี และไม่เคยแสดงเงินสดด้วย ตลอดเวลาที่มีการไต่สวนนายสมศักดิ์ยืนยันตลอดว่าบ้านพักดังกล่าวไม่ใช่ของตนแต่เป็นบ้านของนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ พี่ชายของ นางระวีวรรณ ปริศนานันทกุล คู่สมรส โดยใช้เงินที่ได้จากการประกอบโรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ มาก่อสร้าง พิจารณาแล้ว เห็นว่า ผลการไต่สวนฟังได้ว่าบ้านดังกล่าวเป็นของนายสมศักดิ์ มีมูลค่า 16 ล้านเศษ รวมทั้งยังพบว่านายสมศักดิ์ไม่ได้แสดงรายการเงินฝากของตนและคู่สมรส ซึ่งฝากไว้ในชื่อคนอื่น ทางคณะกรรมการป.ป.ช. จึงมีมติว่านายสมศักดิ์จงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินเป็นเท็จ และไม่แสดงรายการเรื่องบ้านและเงินฝาก จึงมีมติส่งเรื่องให้ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณามีคำพิพากษาส่วนเรื่องรถเบ็นซ์ และร้านเอเอ็ม พีเอ็มนั้น คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีมูลจึงให้ตกไป

นายณรงค์ กล่าวว่า ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯได้มีคำพิพากษาว่าบ้านดังกล่าวเป็นของนายสมศักดิ์ และมีคำพิพากษาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินเท็จ มีผลทำให้นายสมศักดิ์ต้องพ้นจากตำแหน่งหรือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ตั้งแต่ 2 ธ.ค. 51 และมีโทษทางอาญาจำคุก 6 เดือน ปรับ 6 หมื่นบาท โดยศาลให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ซึ่งทางคณะกรรมการฯได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหากรณีร่ำรวยผิดปกติ และให้โอกาสชี้แจงกรณีบ้านพัก โดยนายสมศักดิ์ได้ชี้แจง 3 เหตุผล โดยครั้งแรกแจ้งว่าการปลูกสร้างบ้านใช้เงินหมุนเวียนของโรงสี ต่อมาเปลี่ยนคำชี้แจงว่าการจัดซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงินของตนที่ฝากไว้ในนามของโรงสี และอีกครั้งชี้แจงว่าเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายปลูกสร้างบ้านทั้งหมด โดยมอบหมายให้นายไพโรจน์ดำเนินการแทนทั้งหมด

“ทาง ป.ป.ช. วินิจฉัยว่า บ้านดังกล่าวได้ปลูกสร้างและเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งจากการไต่สวนได้ข้อเท็จจริงว่ามีการถมดิน เขียนแบบบ้าน ตอกเสาเข็ม และปลูกสร้างในช่วงนายสมศักดิ์เป็น รมช.ศึกษาธิการ และสืบเนื่องมาจนถึง รมว.ศึกษาธิการ โดยช่วงปี 43 สื่อมีการเสนอข่าวระบุว่าบ้านดังกล่าวมีการปลูกสร้างมาตั้งแต่เป็น รมช.ศึกษาฯ จนถึง รมว.ศึกษาธิการ และมีการต่อเติมปรับปรุงตกแต่งภายใน ซื้อวัสดุจากการร้านเกลอหลี โดย ป.ป.ช. มีใบเสร็จทุกฉบับ จึงฟังได้ว่าบ้านดังกล่าวสร้างในช่วงเป็นรมว.ศึกษาธิการ”

ส่วนประเด็นนายสมศักดิ์นำเงินจากไหนมาปลูกสร้าง จากการไต่สวนเราดูจากบัญชีการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินที่แสดงไว้ 8 ตำแหน่ง พบว่า นายสมศักดิ์และภรรยาไม่ได้แสดงรายการเงินสดไว้มาตลอด เมื่อ ป.ป.ช. มีคำสั่งให้แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 19 ซึ่งเป็นกระบวนการพิเศษที่จะชี้ว่าร่ำรวยหรือไม่ นายสมศักดิ์ ก็ไม่แสดง และช่วงปี 38 และปี 39 ที่นายสมศักดิ์เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองใหม่ ๆ จากคำให้การของนายธีระพันธ์ อรุณรัศมีโชติ และนายสุรเชษฐ์ นิ่มกุล คนใกล้ชิด ก็ยืนยันว่า ช่วงนั้นยังไม่มีเงินทองเพียงพอมาหาเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งการปลูกสร้างบ้านดังกล่าวก็ยังมีการผ่อนซื้อสินค้ามาตลอด และคำเบิกความของนายสมศักดิ์ต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯว่า บ้านหลังดังกล่าวไม่ใช่ของตน แต่หลังจากศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯมีคำพิพากษาแล้วกลับคำให้การ ยืนยันว่า บ้านปลูกสร้างด้วยเงินสด และเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทยในขณะนั้น ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและสำนวนแล้วเห็นว่า ประเด็นแรกพอฟังได้ว่าบ้านหลังดังกล่าวปลูกสร้างช่วงเป็น รมช. ถึง รมว.ศึกษาธิการ

ส่วนที่อ้างเรื่องเงินสนับสนุนจากพรรคการเมือง ดูจากคำให้การของ นางพวงรัตน์ ชัยบุตร อดีตเหรัญญิกพรรคชาติไทย ที่เบิกความต่อศาลว่าช่วงปลายปี 39 นายสมศักดิ์ รับเงินสนับสนุนจากพรรคการเมืองและบุคคลที่ไม่ทราบชื่อรวม 29 ล้านบาทเศษ แต่ไม่มีรายละเอียดการใช้จ่าย เป็นเหตุให้นายสมศักดิ์เปลี่ยนคำให้การว่าได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง แต่เมื่อตรวจสอบภาษีเงิน ได้พบว่า นายสมศักดิ์ มีรายได้ช่วงปี 41 จำนวน 2,438,700 บาท และ ปี 43 มีรายได้รวม 2,854,000 บาท รวมแล้ว 5.3 ล้านบาทเศษ ไม่สอดคล้องกับทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ทาง ป.ป.ช. จึงมีมติว่านายสมศักดิ์ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้มาไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้อำนาจในตำแหน่ง จึงมีมติส่งรายงานเอกสารและความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน โดยล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯได้รับคำร้องแล้ว และส่งรายงานเอกสารมายังสภาสนช.เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. ม.56 (1)

ด้าน นายสมศักดิ์ แถลงโต้ข้อกล่าวหาว่า ช่วงได้รับตำแหน่งเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งประเทศเข้าสู่ยุคไอเอ็มเอฟ รัฐบาลไม่มีการทำโครงกาขนาดใหญ่ ดังนั้น หรือการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง สักครั้งเดียว ไม่เคยไปใช้อำนาจหน้าที่ไปแสวงหาประโยชน์ โดยนโยบายกระทรวงไม่เน้นใช้เงินแต่ใช้ปัญญาและหัวใจแก้ปัญหาการศึกษา อีกทั้งจะเห็นว่าการกล่าวหาเรื่องร่ำรวยผิดปกตินี้ ป.ป.ช. ไม่ได้เชิญข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการมาให้การ และในสมัยดำรงตำแหน่ง ยังไม่เคยถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือถูกร้องเรียนในประเด็นทุจริต

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่มาของบ้านได้ซื้อที่ดินปี 39 ถมที่ดิน ปี 40 และก่อสร้างเสร็จ 41 ช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน ก่อนดำรงตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการด้วยซ้ เรื่องนี้มีภาพถ่ายทางอากาศจากกองทัพบกยืนยันได้ รวมทั้งผู้ควบคุมการก่อสร้างที่ให้การ ป.ป.ช. ก็ยืนยันว่า บ้านหลังนี้สร้างเสร็จ 8 เดือน ส่วนใบเสร็จซื้อวัสดุก่อสร้าง 18 ใบ ช่วงปี 2543 - 2544 รวม 1.4 ล้านบาท เป็นช่วงที่สร้างเสร็จแล้วแต่ต้องตกแต่งภายใน หรือในส่วนรื้อออกทำใหม่รวม 1.4 ล้านบาท แต่กลับถูกนำมาใช้ประกอบการชี้มูลร่ำรวยผิดปกติ 16 ล้านบาท ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อย ยังได้มีความเห็นว่าตนได้วางแผนการก่อสร้างตั้งแต่ซื้อที่ดินปี 2539 แล้ว ไม่ใช่หาเงินไปก่อสร้างไป โดยอาศัยหน้าที่แสวงหาประโยชน์ เพื่อสร้างบ้านดังกล่าว

“ด้วยวิญญูชนทั่วไปการจะก่อสร้างบ้าน ซื้อที่ออกแบบ ต้องรู้ว่ามีเงินพอหรือไม่ ไม่ใช่การสร้างวัดที่ไม่พอก็ไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ชีวิตนักการเมืองไม่มีใครรู้อนาคตว่าจะได้รับเลือกตั้งกลับมาหรือไม่ จะเลือกเป็น รมต. หรือไม่ ผมไม่ใช่นายทุนพรรค แค่นักการเมืองบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่สามารถกำหนดอะไรได้ จะรู้หรือว่า เดี๋ยวเอได้ตำแหน่งแล้วก่อสร้างให้เสร็จ ส่วนที่ว่า เงินมาจากไหน การเลือกตั้งแต่ละครั้งผมได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคกว่า 20 ล้าน เพราะพรรคการเมืองมีนายทุน ก็จะดูว่าคนไหนมีแววได้รับเลือกสูงถึงมีการแบ่งเป็นเกรด a b c แต่เพราะผมเป็นคนบ้านนอกและผูกพันกับชาวบ้านเขาเลยสนับสนุน และก็ได้รับการเลือกตั้งมาทุกครั้ง ไม่เคยสอบตกตั้งแต่ปี 39 เวลาเลือกตั้งเขาใช้เงินกันผมก็ไช้ แต่ตีตั๋วเด็ก แต่ละครั้งจึงเหลือมาตลอด และยังมีมุ้งต่าง ๆ คือ ผู้ใหญ่ภายในพรรคเขาอยากมีเสียงสนับสนุนให้เป็นรัฐมนตรี หรือจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็จะดูแลสมาชิกที่ไม่ได้เป็นนายทุนพรรค เวลาเลือกตั้งก็ช่วยเหลือกัน ซึ่งเหตุเกิดก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 40 อีกทั้งการเลือกตั้งแต่ละครั้ง บางคนก็ใช้เงินสนับสนุนเยอะ บางคนก็ใช้น้อย ซ้ำร้ายบางคนกล้าสอบตก เพื่อที่จะกอดเงิน ที่ว่ารักเงินมากกว่าตำแหน่ง ผมจดไว้หมดว่าใครให้เงินมาเท่าไหร่ไว้ทำกิจกรรมการเมือง ท่านไม่ใช่นักการเมืองไม่รู้หรอกว่าเขาทำอย่างไร อย่าใช้ตรรกะแล้วอนุมานเอา”

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนที่กล่าวหาว่าตนกลับคำให้การนั้น ไม่ใช่เพราะจำนนต่อหลักฐานแต่เป็นเพราะรัฐธรรมนูญประกาศใช้ใหม่ ในปี 40 และมีกฎหมาย ป.ป.ช. ใช้ปี 42 ท่ามกลางความใหม่ยอมรับว่าสำคัญผิดว่า ทรัพย์สินที่ไม่ใช่ชื่อตนเองไม่ต้องแจ้ง ตนจึงไม่ได้แจ้งในกรณีเงินสด และแปรมาเป็นทรัพย์สินบางประการ โดยแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งนำไปมอบให้โรงสีวิเศษชัยชาญเพื่อหมุนทำธุรกรรม เพราะสำนึกกตัญญูที่ยกลูกสาวให้เนื่องจากครอบครัวตนเอง และภรรยาแตกต่างสิ้นเชิง เมื่อโอนไปแล้วจึงไม่ได้แจ้งให้ป.ป.ช.ทราบซึ่งต่อมาเงินส่วนนี้ ทางโรงสีได้นำกลับมาซื้อที่ดินในการสร้างบ้าน

“ผมไม่ปฏิเสธกระบวนการประชาธิปไตย แต่ต้องขึ้นอยู่บนหลักการข้อเท็จจริงและความเป็นธรรมด้วย เอกสารทั้งหมดมีคำตอบว่าได้มาอย่างไร ใช้อำนาจหน้าที่หรือไม่ และได้มาเมื่อไหร่ ปรากฏการณ์เกิดขึ้นก่อนเป็นรัฐมนตรีด้วยซ้ำไป มีรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้สนับสนุนทางการเมืองและภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมแจ้งคือข้อเท็จจริง ส่วนจะถอดถอนหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจของพวกท่าน ผลเป็นอย่างไรผมยอมรับทุกกรณี แต่ไม่อยากให้การตัดสินใจของ สนช. ทำให้ต้องเสียหลักการ สังคมสูญเสียความยุติธรรม” นายสมศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

จากนั้น นายพีระศักดิ์ พอจิตต์ รองประธาน สนช. คนที่ 2 ในฐานะประธานที่ประชุมได้กำหนดให้ตั้งคณะกรรมการซักถาม 7 คน โดยให้สนช.ยื่นญัตติตั้งคำถามได้จนถึงวันที่ 30 ต.ค. เวลา 12.00 น. และจะนัดพิจารณาตั้งคำถามในวันที่ 5 พ.ย.





















กำลังโหลดความคิดเห็น