กกต.จัดประชุมเลือกตั้งภูมิภาคครั้งสุดท้าย “ศุภชัย” เผยเพื่อปรับสืบสวนให้มีประสิทธิภาพ แจงสำนวนหนาเหตุรุ่นก่อนทำแบบนี้รายละเอียดครบ "บุญส่ง" ชงดัดหลังผู้บริหารท้องถิ่นชิงลาออกหวังชนะเลือกตั้งห้ามสมัครต่อ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา ชี้จะไม่กระจายคดี เป็นกลางการเมือง จี้ กกต.ดันรวมฟ้องคดีเลือกตั้งทั้งอาญา เพิกถอน แพ่ง แต่หมายค้น-จับควรเป็นหน้าที่ศาล ผู้บริหารหาทางกันขู่พยาน
วันนี้ (29 ก.ย.) ที่โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดประชุมเชิงวิชาการเรื่อง “การดำเนินการคดีเลือกตั้งระดับภูมิภาค” ครั้งที่ 9 โดยนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต., นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านสืบสอนสอบสวนและวินิจฉัย, นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการการบริหารงานเลือกตั้ง, นายธีรวัฒน์ ธีระโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม และนายภุชงค์ นุตตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. ทั้งนี้มี กกต.ประจำจังหวัดเข้าร่วม 10 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี ลพบุรี สมุทรปราการ สระบุรี สิงห์บุรี และอ่างทอง
นายศุภชัยกล่าวเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า การจัดประชุมเชิงวิชาการในครั้งนี้ จัดเป็นครั้งที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย โดยมีนายบุญส่งเป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อเป็นการขยายผลและรับฟังความคิดเห็นของระดับภูมิภาคที่มีการเสนอแนะต่างๆ มาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และระบบสืบสอนสอบสวนในศาลให้ได้ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ นายศุภชัยยังกล่าวแสดงความคิดเห็นยังกรณีมีการตั้งข้อสังเกตถึงคำร้องของ กกต.ว่าทำไมสำนวนถึงมีรายละเอียดมากมายว่า เป็นเพราะ กกต.รุ่นที่แล้วทำมาอย่างนี้ เพื่อจะได้รู้รายละเอียดของผู้ถูกร้อง และยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับพยานซึ่งรู้หมดว่าใครเป็นบ้าง แต่บางครั้งศาลก็ไม่ได้เรียกพยานตามที่ กกต.เสนอไป อย่างไรก็ตาม กกต.ก็จะนำความคิดเห็นไปปรับปรุงเพื่อให้ได้ผลสำเร็จ
ขณะที่นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต. ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวว่า ผลการประชุม 8 ครั้งที่ผ่านมาได้ข้อสรุปตรงกันว่าการปราบปรามการทุจริตการเลือกตั้งให้ได้ผลต้องปรับปรุงระบบการสืบสวนสอบสวน และการดำเนินคดีในศาลให้มีความกระชับและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้อำนาจกกต.ในการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติกรรมไม่เป็นกลางออกนอกพื้นที่ในช่วงเลือกตั้ง รวมทั้งดำเนินการทางวินัยได้ แก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น ให้พนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจในการตรวจค้น ยึด หรืออายัด เอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยานหลักฐานอื่น ที่ใช้ในการกระทำผิดให้พยานในคดีเลือกตั้งได้รับการคุ้มครองและให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้งในการกันบุคคลไว้เป็นพยานและจ่ายเงินรางวัลนำจับแก่ผู้ชี้เบาะแส รวมทั้งการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งให้รุนแรงขึ้น ในการดำเนินคดีเลือกตั้งให้ศาลใช้สำนวนของ กกต. เป็นหลักในการพิจารณาคดี และให้ศาลมีอำนาจให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งชดใช้จ่ายในการเลือกตั้งและดำเนินคดีอาญาในคดีเดียวกันกับการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่าที่ผ่านมาผู้บริหารท้องถิ่นส่วนใหญ่จะลาออกก่อนครบวาระ เพื่อเอาเปรียบคู่แข่งหรือหลีกเลี่ยงการกระทำผิดต่อกฎหมาย อันเป็นผลให้สิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ควรจะมีกฎหมายห้ามบุคคลดังกล่าวลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไป และในกรณีที่ศาลรับคำร้องของ กกต. ไว้พิจารณาควรให้ผู้บริหารท้องถิ่นหยุดปฏิบัติหน้าที่ทั้งคณะ การให้รองนายกรักษาการ เช่น ในปัจจุบันทำให้การลงโทษทางกฎหมายไม่มีผลและนักการเมืองไม่เกรงกลัว
ด้านนายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา บรรยายเรื่อง “ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในการพิจารณาคดีเลือกตั้ง” ตอนหนึ่งว่า กรอบแนวคิดของกระบวนการยุติธรรมจะไม่ตีความขยายอำนาจของตัวเองเพื่อที่จะพิจารณาคดีอื่น การทำคดีในศาลฎีกาจะไม่กระจายคดี แต่จะใช้อำนาจตามกฎหมายที่กำหนดเท่านั้น สิ่งที่ควรระมัดระวังที่สุด คือ ความเป็นกลางทางการเมือง และตกไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การพิจารณาคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งนั้นประธานศาลฎีกาจะเป็นผู้สั่งจ่ายคดี เพื่อให้เกิดการตรวจสอบป้องกันการกำหนดตัวผู้พิพากษา เพื่อความเป็นกลางในการทำคดี จึงพยายามกระจายสำนวนไม่ให้ตกแก่ใครคนใดคนหนึ่ง
นอกจากนี้ เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ตกไปที่มีข้อเสนอเกี่ยวกับการฟ้องคดีเลือกตั้งของ กกต. โดยให้ กกต.เอาคดีอาญา คดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบเหลือง-ใบแดง) และคดีแพ่ง มารวมฟ้องในสำนวนเดียวกัน และให้ใช้ระบบการไต่สวนเหมือนกันนั้นเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะผลักดันให้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนการที่จะเพิ่มอำนาจ กกต.ให้มีหมายเรียก หมายค้น หมายจับนั้น ตนเห็นว่าน่าส่งเรื่องให้ศาลเป็นผู้ดำเนินการ ขณะที่ปัญหาการข่มขู่พยาน ตนเห็นว่าฝ่ายผู้บริหารจำเป็นต้องหามาตรการแก้ไขเพื่อไม่เกิดปัญหา
ด้านนายรุ่งเรือง ลำพองชาติ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ กล่าวว่า การส่งสำนวนเรื่องร้องเรียนของ กกต.ไปยังศาลเพื่อให้พิจารณานั้นละเอียดเกินไป ที่จริงควรจะใส่เพียงกรอบของกฎหมายก็พอ