“มาร์ค” ย้ำควรเน้นสาระ รธน. ติงพูดเรื่องลอยๆ เกิดปมขัดแย้ง ชี้ของเดิมมีดีอยู่มาก แต่รื้อใหม่ก็อาจนาน 6 เดือน รับค้าน คปป. ไม่ปัดกลไกระงับรัฐบาลใช้อำนาจผิด แต่ต้องไม่รัฐซ้อนรัฐ ดักอย่าอ้างปฏิรูปเหตุยังไม่รู้ไปทิศไหน หวัง กรธ.มีอิสระ ดูบทเรียน กมธ.ยกร่างฯ ที่ทำตามธง จี้ต้องมองปัญหาถ้าไม่ผ่านอีก เชื่อไม่มีใครอยากย้อนไปร่าง 10 ปีแบบยุค “สฤษดิ์” จี้นายกฯ ให้พรรคการเมืองช่วยปฏิรูป ขออย่าตัดอำนาจ ป.ป.ช.เสี่ยงเข้าทางคนโกง
วันนี้ (23 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการโต้เถียงไปมาระหว่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ เกี่ยวกับกรอบเวลาของโรดแมปว่า ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าควรมุ่งไปที่สาระของรัฐธรรมนูญ เพราะเวลาหยิบเรื่องลอยๆมาพูดทำให้เกิดประเด็นความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ทุกอย่างอยู่ที่เนื้อหาสาระ ยังไม่ทราบเลยว่า 21 คนจะเป็นใครมาพูดแทนได้อย่างไรว่าจะต้องเสร็จกี่เดือน พอคนเข้ามาทำงานมีการแสดงกระบวนการทำงานที่ชัดเจนก็จะได้คำตอบที่เหมาะสมในตัวของมันเอง ส่วนสูตร 6-4 - 6-4 คือกรอบของกฎหมายว่าอย่าเกิน ส่วนจะเป็นหรือไม่ก็อยู่ที่วิธีการทำงานในแต่ละขั้นตอน ตรงนี้ต้องมาดูกันตอนนั้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ถ้าคณะทำงานชุดใหม่เข้ามาฉบับเดิมดีอยู่มากมายก็ไม่ต้องไปยุ่งเลย ภายใน 2 วันก็ได้ตั้งร้อยกว่ามาตรา ตรงนี้ก็เป็นเหตุผลว่าจำเป็นจะต้องทำกันถึง 6 เดือนหรือไม่ แต่ถ้าคณะทำงานเข้ามาแล้วพูดว่าจะต้องเริ่มต้นกันใหม่หมด ก็อาจจะเป็น 6 เดือน ทุกอย่างต้องเอาเหตุและผลมาว่ากันว่าอะไรเหมาะสม ดูจากเนื้อหาสาระ เช่น สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน นำเขาข้อทักท้วงข้อติติง ประเด็นต่างๆ มาพิจารณา มีการระดมความเห็นหาข้อยุติและดำเนินการเดินหน้าต่อไป ส่วนเรื่อง คปป.ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ หากจะให้มีในรัฐธรรมนูญต้องดูว่ามีแบบไหน อย่างไร อำนาจหน้าที่เป็นอย่างไร
“ผมเป็นคนหนึ่งที่ค้าน คปป. แต่ไม่ปฏิเสธแนวคิดที่บอกว่าอาจจะต้องมีกลไกที่มา คือ สามารถระงับยับยั้งหรือถ่วงดุลไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจในทางที่ผิดเหลวไหล แต่คนที่จะมาทำตรงนี้จะต้องมีที่มาที่ไปที่รับกันได้ คือ มีความรับผิดชอบต่อประชาชน หรือมีกลไกที่ทำให้เกิดความมั่นใจว่ามีความเป็นกลางจนเป็นที่ยอมรับ และผมไม่ปฏิเสธว่าในสถานการณ์คับขันอาจจะต้องมีการใช้อำนาจพิเศษบางอย่างเพื่อระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหาย แต่ต้องไม่ใช่การทำกลไกถาวรในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ และหากจะใช้กลไกเหล่านี้มาทำเรื่องการปฏิรูปก็ต้องบอกให้ชัดว่าจะปฏิรูปอะไรไม่ใช่พูดลอยๆ เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะปฏิรูปในทิศทางไหน แต่สร้างกลไกบังคับให้รัฐบาลเดินซ้าย-ขวา ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะปฏิรูปอย่างไรเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนอยากให้ กรธ.มีความอิสระในการร่างรัฐธรรมนูญในระดับหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาตนย้ำว่า กรรมการจะทำงานอะไรตามใจใคร ต้องให้ประชาชนเห็นชอบ ฉะนั้นการจะไปตามใจหรือใครกำหนดธงอย่างไรไม่ได้ช่วยให้ กรธ.ทำงานได้ เพราะเขาต้องเป็นคนเอาร่างฯ นี้ไปให้ประชาชนเห็นชอบ ถามว่าที่ผ่านมา กมธ.ยกร่างฯ ชุดที่แล้วยังทำงานตามคำขอของทาง ครม. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ผลที่ออกมามันสะท้อนว่าเกิดปัญหาขึ้น ฉะนั้นน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับ กรธ.ชุดใหม่ว่าถ้าทำตามคำขอและประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบด้วย สิ่งที่ทำไปก็จะสูญเปล่า ส่วนจะเป็นบทเรียนสำหรับ กรธ.ชุดใหม่ หรือ คสช.และรัฐบาลหรือไม่ ตรงนี้เราไปห้ามคนคิดไม่ได้ แต่ว่าคนที่มีหน้าที่ที่จะเขียนต้องรับผิดชอบตัวเอง
เมื่อถามต่อว่าแต่ถ้ารัฐธรรมนูญที่จะร่างไม่ผ่านคนมีอำนาจก็ยังอยู่ในอำนาจ และร่างรัฐธรรมนูญต่อไปเรื่อยๆ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงนั้นเป็นการมองในมุมของกฎหมาย แต่ควรจะต้องมองสภาพความเป็นจริงของสังคมและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศ อย่าไปมองแค่เพียงว่าเมื่อรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วเราก็อยู่ได้ ไม่ต้องตั้งใจให้มันผ่านหรืออะไรอย่างนั้น ต้องมองว่าถ้ามันไม่ผ่านอีกสภาพของสังคมจะเป็นอย่างไร ประชาคมโลกจะมองเราอย่างไร ปัญหาที่จะตามมาอย่างเรื่องเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างไร
ส่วนถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านใครจะต้องรับผิดชอบนอกจาก คสช.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงไม่ใช่คสช. แต่คนรับผิดชอบคือคนที่เขียนรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็จะเหมือนในยุคก่อนๆ ที่เราเคยพูดว่าเวลาที่ฝ่ายเรื่องไปบอกให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือราชการทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วไปคิดว่าเขาขอมาเขาสั่งมา แล้วก็ไปทำตาม สุดท้ายคุณก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำตามอำนาจหน้าที่ ตรงนี้ก็เช่นกัน หากใครไปขออะไรแล้วคุณไปทำ คุณต้องรับผิดชอบการตัดสินใจตัวเอง 21 คนต้องคิดแบบนี้ ต้องดูความเจ็บปวดของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ เป็นตัวอย่าง ดังนั้น 21 คนจะมีความหมายหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแม้จะมีการร้องขอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนเขียนว่าจะเขียนอย่างไร
สำหรับกรณีที่นายกฯ เองก็ตั้งสเปกและมีธงไว้ชัดเจนว่าจะทำอะไรจะต้องตรงตามเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการจะทำให้ กรธ.ขาดอิสระหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงนี้ตนไม่ทราบ แต่กลไกเหล่านี้เขาก็มีสิทธิที่จะทำความเห็น และรัฐธรรมนูญชั่วคราวเองก็เปิดโอกาสให้หลายองค์กรทำความเห็นไปได้ แต่ก็เป็นแค่ความเห็น อำนาจหน้าที่อยู่ที่ผู้เขียนและผู้ร่าง
เมื่อถามว่าแต่ประเด็นคือเขาไม่ใช่แค่มีอำนาจ แต่เขามีอำนาจที่จะควบคุมทุกอย่างได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คนที่ตัดสินใจมาทำงานตรงนี้ก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และหากจะไปเขียนตามคนนั้นคนนี้สั่งก็ให้คนสั่งมาเขียนเองเลย ทั้งนี้เห็นว่าที่ผ่านมาอาจจะมีกระบวนการเจรจาต่อรองกันอยู่ คนที่เป็นคนร่างจะเป็นคนยืนยันข้อเท็จจริงได้ดีที่สุด แต่สุดท้ายคนอนุมัติก็คือประชาชน เพราะหากไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน ทุกอย่างก็สูญเปล่าและไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ผ่านมามีประวัติศาสตร์การเมืองมาแล้วว่าประเทศไทยใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญกว่า10 ปีแล้ว ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายอภิสิทธิ์ย้อนถามว่า แล้วตอนนี้มันยุคไหนแล้ว เราอยากจะกลับไป ยาวนานขนาดนั้นหรือ เวลานี้มีแต่ทุกคนอยากให้ประเทศเดินหน้า แต่ประเทศถ้าจะเดินหน้าไม่ได้เดินอยู่ตัวคนเดียวจะต้องเดินไปกับสังคมโลก เราต้องรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ตนไม่เชื่อว่าใครอยากจะย้อนกลับไปแบบนั้น
“ผมคิดว่ายากที่จะเดินไปในเส้นทางแบบนั้น เพราะดูได้จากสภาพสังคม บ้านเมืองจะต้องเดินหน้าอย่างสงบ ประชาชนต้องมีความหวัง ได้รับการตอบสนอง ถ้าเราเดินวนเวียนไปมาไม่จบสิ้น จะไม่ตอบโจทย์ใครเลย แต่ผมไม่เชื่อและเชื่อความตั้งใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่บอกว่าอยากให้ประเทศชาติเดินหน้า ประเทศสงบ ก็ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงของสังคม หากจะปฏิรูปพรรคการเมือง ควรทำ 1. อนุญาตให้พรรคการเมืองไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองกันตั้งแต่วันนี้ และ 2. เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองประชุมทำกิจกรรมเพื่อปฏิรูปพรรคตัวเอง ห้ามทำกิจกรรมที่กระทบกับความมั่นคง ถึงจะเรียกว่ามาช่วยกันปฏิรูปพรรคการเมืองเพื่อให้การเมืองเดินไปข้างหน้า” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวด้วยว่า แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกคว่ำไปก็ยังมีการลดทอนอำนาจ ป.ป.ช.ในเรื่องการไต่สวนข้อเท็จจริง ทำให้มีการแยกส่วนจนอาจส่งผลต่อระบบการไต่สวนที่ทำให้อาจถูกตัดตอนจนหาผู้บงการไม่ได้ และยังมีการเปิดโอกาสให้นักการเมืองทุจริต มีช่องทางต่อสู้ที่ยืดเยื้อมากขึ้น ทั้งนี้ การจะเขียนกฎหมายต้องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปราบปรามการทุจริตซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย แต่ถ้าไปแยกกันก็จะทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการเอาคนผิดมาลงโทษ