ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่าสถานการณ์ภายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา สามารถใช้ “อำนาจพิเศษ” เล่นบทเข้มควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดมาได้จนถึงปัจจุบัน ประกอบกับที่ผ่านมา ยังสามารถรักษาความศรัทธาจากประชาชนอยู่ในระดับสูงเอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอยู่ในอำนาจและประคองตัวเอาไว้ได้ค่อนข้างจะราบรื่น
อย่างไรก็ดี ในระยะหลังนับตั้งแต่ที่รัฐบาลของเขามีอายุครบ 1 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สถานการณ์และบรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเข้าสู่ “โหมดอ่อนไหว” มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต้องเริ่มมีการนับหนึ่งกันใหม่ ซึ่งคราวนี้ถือว่า “เป็นข้อผูกมัด” โดยตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากเขาใช้อำนาจในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเลือกเฟ้นและลงนามแต่งตั้งมาทั้ง 21 คน และแน่นอนว่าเมื่อยกร่างเสร็จเรียบร้อยความหมายก็ต้องมีเสียงพูดกันตามว่านี่คือ “รัฐธรรมนูญฉบับประยุทธ์” ดังนั้น ก็ต้องรับผิดชอบโดยตรงเนื่องจากคราวนี้อย่างที่รับรู้กัน ก็คือ ไม่มีสภาปฏิรูปแห่งชาติคอยตัดเกมเหมือนคราวก่อน
นั่นคือ เมื่อยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยก็ต้องส่งตรงให้ประชาชนลงประชามติทันที ซึ่งปัญหาใหญ่น่าจะเกิดตรงนี้แหละ นั่นคือ หาก “ไม่ผ่าน” ขึ้นมาก็ต้องยุ่งแน่ เพราะนั่นเท่ากับว่าประชาชนปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปด้วย และที่น่าจับตา ก็คือ หากในคราวเดียวกันมีพรรคการเมืองออกมารณรงค์ให้คว่ำ หรือมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญอ้างเหตุผลแบบง่าย ๆ ว่าเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ หรือหยิบเอาบางประเด็นที่อ่อนไหวมาปลุกระดม เช่น เรื่องการสืบทอดอำนาจ หมกเม็ดต่าง ๆ ซึ่งมันย่อมมีข้อกล่าวหาแบบนี้อยู่แล้ว เมื่อพิจารณาจากรายชื่อของตัวเต็งที่จะมานั่งประธานคณะกรรมการยกร่างฯ
ดังนั้น เชื่อว่า สถานการณ์นับจากนี้ไปจะต้องมีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้จากฝ่ายการเมืองไม่ถูกรับเชิญให้เข้าร่วมในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะเดียวกัน เมื่อรูปการณ์แบบนี้ทำให้บางพรรคโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยต้องรีบประกาศท่าทีทำนอง “ไม่สังฆกรรมกับเผด็จการ” พลิกเกมไปอีกแบบกันไปเลย
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาในช่วง 7 - 8 เดือนข้างหน้าว่าพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็รับรู้กันอยู่ว่าเป็นของครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร จะสรุปกันอย่างไร จะยอมไฟเขียวให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เพื่อจะได้ลงเลือกตั้งมีลุ้นกลับมาอีกรอบตามโรดแมปหรือเปล่า เพราะหากคว่ำนั่นก็หมายความว่าเวลาก็ทอดยาวไปอีก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นับจากนี้ไปก็ต้อบบอกว่าอ่อนไหว และมีแนวโน้มที่จะตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญ ฝ่ายเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้ว่าในเวลานี้ยังไม่อาจสร้างเงื่อนไขให้เคลื่อนไหวได้มากนัก ทำได้เพียงแค่รอจังหวะรอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ “สะดุดหัวแม่เท้า” ตัวเองเสียหลักเท่านั้น
ขณะเดียวกัน อุปสรรคสำคัญที่มองดูแล้วทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ก็คือ “บทเข้ม” ที่ส่งสัญญาณออกมาว่า “ห้ามขยับ” ซึ่งคราวนี้น่าจะมาแบบ “ระดับสาม” ที่ขู่จัดหนักถึงขั้นอายัดบัญชี ห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งนี่แหละเรื่องใหญ่ สำหรับหัวขบวน ที่ผ่านมาก็ได้เห็นตัวอย่างจาก “ลูกน้อง” บางคนที่เล่นบทโชว์ ไม่ว่าจะเป็น พิชัย นริพทะพันธุ์ การุณ โหสกุล หลังถูกเชิญไป “เลี้ยงข้าว” ในค่ายทหาร 7 วัน ออกมาหลังจากนั้นก็เงียบกริบ และเชื่อว่าในข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ “เรื่องอายัดบัญชี” และจะถูกดำเนินคดีฟ้องศาลทหาร
ยังมีคำพูดออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องปัดฝุ่น เร่งรัดคดีเก่า ๆ และที่ขนหัวลุก ก็คือ ให้บริษัท เอไอเอส ชดใช้ค่าเสียหายจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่เป็นธรรม ทำให้บริษัท ทีโอที เสียหายกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท และยังจะสรุปความเสียหายทางแพ่งในโครงการรับจำนำข้าวอีกไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวก และหัามออกนอกประเทศอย่างเด็ดขาด
ถึงได้บอกว่างานนี้ต้อง “เล่นบทเข้ม” บทหนักกว่าทุกครั้ง เพื่อต้องการให้ “เอาอยู่” และก็ได้ผล เพราะนี่คืออากร “ทุบกล่องดวงใจ” ของ ทักษิณ ชินวัตร จนไม่กล้าขยับโดยพลการ จนกระทั่งมีข่าวลอยลมเข้ามาว่า “ต้องแกล้งตาย” กันยาว จนกว่าจะมีเลือกตั้งใหม่ !!