หัวหน้า ปชป.เป็นพยานให้ปากคำคดีกู้ 2 ล้านล้าน ชี้ต้องมีบรรทัดฐานพิจารณาคดีกรณี รธน.ไม่มีผลแล้ว มอง ป.ป.ช.ใหม่ต้องสุจริต กล้า เหตุแรงกดดันสารพัด แจงสรรหาไม่ปกติเพราะสภาวะบ้านเมือง แต่คนถูกเลือกต้องอิสระ เลี่ยงประโยชน์ทับซ้อน ไม่กังวลคดีสลายแดง อยากจบโดยเร็ว ยันทำด้วยความสุจริต ทราบแล้ว ป.ป.ช.ตั้งอนุ กก.สอบทุจริตมันฯ รัฐบาลตน
วันนี้ (16 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเป็นผู้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ มีข้อขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 50
นายอภิสิทธิ์กล่าวภายหลังว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นผู้ร้อง แต่มาในฐานะพยานในประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นปัญหาในข้อกฎหมาย ทั้งนี้ ตนไม่ทราบว่ากรณีที่รัฐธรรมนูญไม่มีผลบังคับใช้แล้วจะส่งผลกระทบต่อคดีนี้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับคดีอื่นหรือไม่ เนื่องจากต้องดูรายละเอียดคำร้อง ข้อกล่าวหา และการกระทำความผิดกฎหมายซึ่งอาจมีกฎหมายอื่นรวมอยู่ด้วย ส่วนคดีจะสะดุดหรือไม่ ป.ป.ช.ต้องวินิจฉัยเอง โดยต้องมีบรรทัดฐานในการพิจารณาด้วยว่าทำไมคดีใดสามารถเดินได้ แต่บางคดีเดินต่อไม่ได้ แต่โดยปกติในแง่ของพฤติกรรมไม่ใช่มีแค่เรื่องขัดรัฐธรรมนูญ แต่ขัดกฎหมายอื่นที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ด้วย
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช.5 คน ที่จะว่างลงในสิ้นเดือนกันยายนว่า เป็นไปตามกระบวนการ ผู้ที่สรรหาก็ต้องให้ได้คนที่สุจริต และมีความกล้า เพราะการทำงาน ป.ป.ช.หากไม่กล้ายืนหยัดก็จะเผชิญกับแรงกดดันสารพัด และถ้าไม่กล้าก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา และสังคมควรให้กำลังองค์กรที่ทำงานตรงไปตรงมา ส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาตามคำสั่ง คสช.ที่ไม่ได้เป็นไปตามระบบปกติ โดยมีตัวแทนของรัฐบาลเข้าไปร่วมสรรหาด้วยจะทำให้ ป.ป.ช.ที่ถูกคัดเลือกถูกมองว่าเป็นคนของ คสช.หรือไม่นั้น ตนเห็นว่าตอนนี้สภาพบ้านเมืองไม่ปกติ ทำให้คณะกรรมการสรรหาไม่ครบถ้วนตามระบบปกติ ทำให้มีข้อจำกัด แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่การทำงานของคณะกรรมการสรรหา และพิจารณาว่ามีใครสมัครบ้างโดยคนที่จะสมัคร หรือคนที่ได้รับคัดสรรให้เป็น ป.ป.ช.แล้วต้องมีความเป็นอิสระ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เคยมีกรณีตัวอย่างการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน ในช่วงที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ได้รับเลือก แต่กลับเป็นที่ปรึกษา คสช. และสุดท้ายไปเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มองอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนอยากให้พยายามหลีกเลี่ยงกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน และอยากให้คนที่ตั้งใจจริงมีโอกาสทำงาน เนื่องจากประชาชนคาดหวังเรื่องการปฏิรูป ปราบปรามการทุจริต เป็นความต้องการอันดับหนึ่งของสังคม
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงคดีการสลายการชุมนุมปี 2553 ที่ ป.ป.ช.กำลังพิจารณาเพื่อชี้มูลว่ามีความผิดต้องถอดถอนออกจากตำแหน่งหรือไม่ว่า ไม่มีความกังวลใจในเรื่องนี้ เพราะตนได้ให้ความร่วมมือ ไม่ว่าจะขอเอกสารหรือการอ้างอิงพยานซึ่งก็มีการชี้แจงไปแล้ว และตนก็อยากให้คดีสิ้นสุดโดยเร็วเพราะยืดเยื้อมานาน
“ผมพร้อมรับคำตัดสิน เพราะยึดในระบบ หากตัดสินแล้วผมไม่เห็นด้วยก็ต่อสู้ตามกระบวนการกฎหมายใน สนช.ต่อไป แต่ยืนยันว่าการทำหน้าที่ที่ผ่านมาเป็นไปโดยสุจริต และนึกไม่ออกว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้นจะต้องทำอย่างไร เพื่อรักษาหลักการของบ้านเมืองและกฎหมาย โดยคำนึงถึงที่สุดแล้วว่าต้องหลักเลี่ยงความสูญเสียให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงทุจริตมันเส้นในสมัยรัฐบาลตนนั้นได้รับทราบเรื่องแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แต่ต้องดูรายละเอียดว่าประเด็นที่ร้องเกี่ยวกับเรื่องอะไร