ผ่าประเด็นร้อน
ถ้าใครสังเกตเวลานี้ก็เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ไม่ได้แสดงอาการเครียดหรือมีอารมณ์หงุดหงิดออกมาให้เห็นเหมือนก่อนหน้านี้ ตรงกันข้ามกลับมีการหยอกเย้ากับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบฯ แม้ว่าจะเจอกับคำถามหนักๆ ตรงๆ หรือแบบมี “วาระซ่อนเร้น” ของบางสื่อก็ตาม
แน่นอนว่าอารมณ์แบบนี้เพิ่งจะได้เห็นในช่วงหลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ที่ผ่านมา โดยเฉพาะมีการปรับ “ทีมเศรษฐกิจชุดใหญ่” ที่นำโดย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี และมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก รวมทั้งได้ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นที่เน้นเป้าหมายผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศในแพกเกจแรกวงเงินกว่า 1.3 แสนล้านบาท และหวังว่าจะเห็นผลภายในสามเดือนข้างหน้า
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่แสดงออกมา เช่นว่า “ผมได้เห็นทีมเศรษฐกิจได้พูดคุยกัน ปรึกษาหารือกันแบบยิ้มแย้มก็ทำให้มีความสุข พวกเขารับคำสั่งของผมไปทุกเรื่องแบบครับ ครับ รับปากทำโน่นทำนี่” แม้ว่าอาจจะไม่ใช่การถ่ายทอดออกมาแบบตรงกันคำต่อคำ แต่ความหมายก็ประมาณนี้แหละ นั่นคือนายกฯ มีความพอใจที่แนวทางความต้อการของตัวเองไดีรัยการตอบสนองนำไปปฏิบัติแบบทันใจ แม้ว่าไม่อยากจะกล่าวแบบฟื้นฝอยในอดีต ก็ถือว่านี่คือปฏิกิริยาตอบรับแบบตรงกันข้าม
อย่างไรก็ดี เมื่อสำรวจความรู้สึกจากภายนอก โดยจากภาคเอกชนล้วนมีเสียงตอบรับเป็นบวกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่เน้นกระตุ้นผู้มีรายได้น้อยอย่างเร่งด่วนก่อน จากนั้นก็คือการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือเอสเอ็มอี รวมถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การซอยโครงการของรัฐให้มีขนาดงบประมาณให้เล็กลงเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณทำได้รวดเร็ว
ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือดูแลเกษตรกรในเรื่องราคาสินค้าการเกษตร เรื่องค่าครองชีพ ทุกเรื่องถือว่าตรงใจชาวบ้าน และเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา
ที่ผ่านมาหากพิจารณาถึงการปรับคณะรัฐมนตรีจะเห็นว่า นอกเหนือจากทีมเศรษฐกิจชุดใหญ่ ที่มี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้าทีมแล้ว ในการแบ่งงานแบ่งกระทรวงในการกำกับดูแลยังมีการจัดหมวดหมู่เพิ่มเติมกันใหม่ โดย สมคิด ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกันแบบ “ครบวงจร” ได้รับมอบหมายให้สั่งการขับเคลื่อนได้เต็มที่ โดยดึงกระทรวงการต่างประเทศเข้ามา หรือแม้แต่กระทรวงมหาดไทยที่แม้จะอยู่ภายใต้การสั่งการของรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่อีกบทบาทหนึ่งอันสำคัญก็คือต้องปรับบทบาทของผู้ว่าฯทุกจังหวัดให้ทำหน้าที่บูรณาการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากขึ้นมา
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าจับตาก็คือ “ความร่วมมือจากภาคเอกชน” ที่ดูแล้วจะกลับมาเน้นบทบาทของคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน ผ่านทางสามสมาคมใหญ่คือ สภาหาการค้าฯ สภาอุตสากรรมฯและสมาคมธนาคารไทย ถึงขนาดมีการเสนอให้มีการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีในทุกเดือนเพื่อเสนอแนะและแก้ปัญหา ซึ่งจะเห็นว่าทุกมาตรการ ทุกความเคลื่อนไหวจะเน้นที่ “ความรวดเร็ว” แบบ “ทำทันที” ในทุกเรื่อง
แน่นอนว่าทุกมาตรการที่ออกมาจะเน้นที่การกระตุ้นจากภายในและการค้าชายแดนเป็นหลัก โดยลดการพึ่งพิงการส่งออกในสัดส่วนให้น้อยลงกว่าเดิม เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกย่ำแย่อีกหลายปี แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเริ่มต้นจะไปได้สวย เนื่องจากได้รับการขานรับจากสังคมและภาคเอกชนเริ่มจากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่งออกมา แต่ถึงอย่างไรก็มีเวลารอลุ้นเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น เพราะหากมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทุกอย่างก็ไปโลด เพราะเริ่มต้นจากความศรัทธาเชื่อมั่นที่ได่รับ แต่หากผลออกมาในทางตรงกันข้ามมันก็จะส่งผลกระทบกับอนาคตกับรัฐบาล โดยเฉพาะกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทันที เพราะถึงตอนนั้นเป็นช่วงที่คาดว่าการเมืองจะร้อนแรง หากเศรษฐกิจปากท้องยังโงหัวไม่ขึ้นมันก็พอนึกภาพนอกว่าจะสาหัสเพียงใด
ขณะเดียวกัน เรื่องความมั่นคงแม้ว่าจะเกิดเหตุลอบวางระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดที่แยกราชประสงค์ แต่ในที่สุดคดีก็มีความคืบหน้าไปมาก ก็สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากทั้งในและต่างชาติให้กลับมา ทำให้การท่องเที่ยวที่ยังเป็นเสาหลักที่พยุงเศรษฐกิจให้สามารถเดินต่อไปได้อีก ดังนั้นถ้าจะให้ลุ้นก็ยังมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องเศรษฐกิจปากท้องซึ่งคงใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนที่จะได้เห็นแนวโน้ม แต่ด้วยองค์ประกอบที่เป็นอยู่ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุมเกมได้เกือบหมดแล้ว ถ้าผ่านก็ไปโลด ไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก
และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ เขาเริ่มมีท่าทีมั่นใจผิดปกติ มองผ่าน “ทักษิณ ชินวัตร” ในแบบที่ไม่อยู่ในสายตาก็ได้ เพราะใช้กระบวนการทางกฎหมายเริ่มไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิดแล้ว!