ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
การได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี คุมทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นการกลับมาขอแจ้งเกิดใหม่ของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แต่จะแจ้งเกิดใหม่สำเร็จหรือไม่ ทุกคนกำลังจับตาดู
ดร.สมคิดกลับมาครั้งนี้ ไม่แตกต่างจากการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรก ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อต้นปี 2544 เท่าไหร่นัก
เพราะเข้ามาในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีด ประชาชนกำลังสิ้นหวัง และ ต้องการอัศวินม้าขาวมาแก้ปัญหาปากท้อง
ก่อนที่จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เศรษฐกิจทรุดหนัก การแก้ปัญหาของรัฐบาลนายชวน หลีกภัยล้มเหลว จนคนเบื่อหน่าย เซ็งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขนาดหนัก และเป็นเหตุผลที่ทำให้พรรคไทยรักไทย ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งปี 2544 อย่างท่วมท้น
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจัดตั้งรัฐบาล ดร.สมคิดถูกวางตัวให้คุมกระทรวงการคลัง และไม่มีใครตั้งความคาดหวังการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากนัก เพราะดร.สมคิดเป็นที่รู้จักในฐานะนักวิชาการที่เชี่ยวชาญการวางแผนด้านการตลาด แม้จะมีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ระดับแนวหน้า และแม้จะรู้เรื่องการเงิน แต่ก็ยังไม่ได้สร้างผลงานอะไรไว้
แต่ภายในเวลาเพียง 1 ปี ชื่อเสียงของ ดร.สมคิดก็ผงาดขึ้นมา และถือว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดีระดับหนึ่ง จนเป็นที่ยอมรับจากภาคธุรกิจเอกชน
เสียดายบารมีที่เบ่งบานขึ้นมา อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สบายใจ กลัวจะก้าวขึ้นไปทาบบารมี จนนำไปสู่การโยก ดร.สมคิดพ้นจากกระทรวงการคลัง และทำให้บทบาทดับวูบลง
การได้รับโอกาสเข้ามาคุมทีมเศรษฐกิจครั้งนี้ ไม่ใช่การแก้มือ แต่เป็นการพิสูจน์ฝีมือว่า ดร.สมคิดเก่งจริงหรือไม่ เป็นนักกอบกู้วิกฤตของจริงหรือของปลอม
และเป็นการกำหนดอนาคตทางการเมืองของตัวเองด้วย
ถ้าสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้สดใส ช่วยให้ประชาชนลืมตาอ้าปาก ช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพได้ อนาคตทางการเมืองของดร.สมคิดคงจะยาวไกล คำทำนายว่า จะก้าวไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีโอกาสเป็นจริง
แต่ถ้าปลุกเศรษฐกิจไม่ฟื้น ไม่เพียงดร.สมคิดเท่านั้นที่จะหมดอนาคต แม้แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ก็คงจะอายุสั้นลงด้วย
แม้นักธุรกิจจะออกมาขานรับการยกเครื่องใหญ่รัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ แสดงการสนับสนุนที่ดร.สมคิดคุมทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งมากันเป็น “แพ็กเกจ” เป็นคนที่เคยร่วมงานกับดร.สมคิดแทบทั้งสิ้น
และแม้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งถูกโละทิ้ง จะแสดงสปิริตอย่างน่าชมเชย ออกมาให้กำลังใจ ดร.สมคิดอย่างเต็มที่
แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจขณะนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเมื่อต้นปี 2544 เพราะเศรษฐกิจกำลังดำดิ่ง ไม่มีสัญญาณฟื้น มองไม่เห็นว่า จะใช้มาตรการใดกระตุ้น และเศรษฐกิจโลกก็กำลังสั่นคลอน
ทั้งสหภาพยุโรป ทั้งจีน ญี่ปุ่นกำลังย่ำแย่ และแม้แต่เศรษฐกิจสหรัฐก็ ไม่ใช่จะดีนัก
ส่วนภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ตกต่ำในทุกด้าน ทั้งการส่งออก การลงทุน กำลังซื้อของประชาชน ขณะที่ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลก็ไม่แข็งแรงนัก ทำให้ขาดความคล่องตัวในการออกมาตรการอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอย่างอืดอาดล่าช้า
รอบนี้ ดร.สมคิดต้องเจองานหนัก เจอปัญหาเศรษฐกิจที่จะ “วัด” ฝีมืออย่างแท้จริง
เบื้องต้นมีแผนจะแก้ปัญหาอะไรบ้าง ดร.สมคิดประกาศแนวทางไว้แล้ว แต่แนวทางที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดคือ การเรียกความเชื่อมั่นคืนกลับมา เพราะนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นแล้ว ประชาชนอยู่ในภาวะสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย มองไกลไปถึงการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างไกลยิ่งกว่าปี 2540มากมาย
ความไม่เชื่อมั่น ได้กัดเซาะให้ระบบเศรษฐกิจทรุดโทรมเร็วขึ้น ภาคเอกชนหยุดการลงทุน ผู้บริโภคชะลอการจับจ่าย คนมีเงินไม่ใช้จ่าย เงินทุนจากภายนอกไม่ไหลเข้า ขณะที่เงินทุนในตลาดหุ้นไหลออกอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ ก็มีโอกาสปลุกเศรษฐกิจให้ฟื้น แต่ถ้าทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นไม่ได้ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เตรียมตัวม้วนเสื่อกลับบ้าน
การบ้านชิ้นแรกที่จะประเมินผล ดร.สมคิด อยู่ที่นโยบายการเรียกความเชื่อมั่นนั่นแหละ และไม่น่าจะใช้เวลานานเกินรอเสียด้วย
อย่างมากหนึ่งหรือสองเดือนก็ประเมินผลงานได้แล้ว
ถ้าเรียกความเชื่อมั่นได้ จึงถือว่าสอบผ่านในด่านแรก แต่ยกทีมงานเศรษฐกิจมาทั้งชุด ยังปลุกความเชื่อมั่นไม่ได้ สอบตกตั้งแต่ยกแรก