“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แบบซุ่มเงียบ เพื่อขจัดรอยร้าวที่เกิดขึ้น เพราะหากเปิดช่องให้มีการต่อรองตำแหน่งกันมากกว่าที่เป็นอยู่ “เรือแป๊ะ” แม้จะเปลี่ยนคนร่วมลงเรือ อาจจะเละกว่าที่เป็นอยู่ได้
“บิ๊กตู่” ตัดสินเฉียบขาดท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งกับ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ระยะหลังกินแหนงแคลงใจไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง
แตกต่างจากบทบาทของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ ที่ผลงานภายใต้หมวกที่ปรึกษา คสช.เด่นแจ่มชัด โดยเฉพาะการดีลธุรกิจกับทางการจีน
หม่อมอุ๋ย ขัดแย้งกับบิ๊กตู่ หลายเรื่อง โดยเฉพาะการอนุมัติโครงการต่างๆที่ รัฐบาล ตั้งความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นภาคการใช้จ่ายฐานราก แต่ไม่สามารถอนุมัติได้ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
จนบิ๊กตู่ ต้องเอ๋ยปากถามหม่อมอุ๋ย กลางวงประชุมครม. ถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกัน เพราะตามสไตล์หม่อมอุ๋ย คงไม่ชอบเหมือนกันที่จะให้มาด่ากันต่อหน้าคนหมู่มาก
ประกอบกับแรงยุจาก “กุนซือ” หลายคน และแรงส่งจากสื่อมวลชน ให้ บิ๊กตู่ ปรับครม. ยิ่งเพิ่มความไม่ลงรอยกันระหว่างบิ๊กตู่ กับหม่อมอุ๋ย
ทว่าบิ๊กตู่ พยายามไม่ใช้ไม้แข็งกับหม่อมอุ๋ย พยายามประนีประนอม ไม่ได้ตัดบัวไม่เหลือใยเสียทีเดียว เมื่อโจทย์ถูกตั้งว่าจะต้องเอา “สมคิด” เข้ามาช่วยงานด้านเศรษฐกิจ จึงมีการคิดสูตรทางออก-ทางรอดให้ “เสือ 2 ตัว” อยู่ถ้ำเดียวกันได้
จึงมีการเสนอสูตรแบ่งทีมเศรษฐกิจเป็น 2 ทีม ทำงานร่วมกันทั้ง 2 ขา โดยให้ หม่อมอุ๋ย นั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีตามเดิม แต่ให้ดูแลด้านการเงินการคลังเพียงอย่างเดียว ส่วน สมคิด ให้ดูแลงานเฉพาะพาณิชย์
สูตรนี้หากเกิดขึ้นจริง จะสามารถบาลานซ์ขุมข่ายทางเศรษฐกิจได้อย่างดี เพราะอย่าลืมว่า หม่อมอุ๋ย กับสมคิด มีคอนเนกชันกับภาคธุรกิจที่แตกต่างกัน หาก บิ๊กตู่นำทั้ง 2 ขุมข่ายมาบริหารร่วมกันได้ จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้รัฐบาลได้อย่างมาก
และอย่างน้อยก็ดีกว่าต้องผลักฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะ หม่อมอุ๋ยให้ไปเป็น “ศัตรู” ทางธุรกิจ
**แต่สุดท้ายสูตรในฝันของใครบางคนก็ต้องพับแผนหาทางกลับบ้านแทบไม่ถูก หลังมีกระแส หม่อมอุ๋ย ออกมาตำหนิ บิ๊กตู่ ต่อหน้าคนหมู่มากว่า นายกฯไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ แต่ชอบพูดมาก ทำให้บริหารงานยาก
วุ่นจนทีม “กุนซือ” ตึกไทยคู่ฟ้าต้องวิ่งวุ่น หาคลิปเสียง ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงมาเปิดฟังกันเลยทีเดียว จนสุดท้าย หม่อมอุ๋ย ต้องออกมาแก้ข่าวว่า ไม่ได้พูด แต่บิ๊กตู่ ก็ยังปราณี พร้อมยื่นข้อเสนอใหม่ให้หม่อมอุ๋ย ด้วยการลดออฟชั่นลง จากเดิมให้ดูแลกระทรวงการคลัง แต่ปรับใหม่ให้ดูแลกระทรวงไอซีที เพื่อคุมงานด้านเศรษฐกิจดิจิตอล
**ทว่าหม่อมอุ๋ย งอนแรง-อาฆาตลึก ไม่ยอมรับข้อเสนอที่บิ๊กตู่ ยื่นให้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ “ลูกทีม” ที่ไปชวนมาด้วยตัวเอง ต้องถูกปรับออกทั้งหมดด้วย
หม่อมอุ๋ย จึงไม่รับงานทั้งหมดที่บิ๊กตู่ เสนอให้ รวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วย จนนำมาสู่วลีเด็ดของ บิ๊กตู่ ที่ว่า ไม่รับก็ไม่รับ รอยร้าวของ บิ๊กตู่ กับหม่อมอุ๋ย สะเทือน รอยร้าวจากขุมข่ายทางธุรกิจของรัฐบาล ที่ยากจะประสานอย่างยิ่ง เรียกได้ว่า บิ๊กตู่ หมดตัวช่วยไปหนึ่ง แต่จะถึงขั้นผลัก “มิตร” ให้เป็น “ศัตรู” เลยหรือไม่ ต้องติดตามกันยาวๆ
นอกจากนี้ “บิ๊กตู่” ยังบริหารตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ ริบตำแหน่งของ “เพื่อน” ที่ร่วมคณะคสช.ยึดอำนาจ กันใหม่ ให้เหลือแค่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอย่างเดียว โดยให้ “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” จากเดิม รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ เหลือ รองนายกฯ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม เป็นรองนายกฯ “พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย” รมว.ศึกษาธิการ นั่งรองนายกฯ
แม้ บิ๊กตู่ จะยังใจดี ให้“เพื่อนร่วมรัฐประหาร”ยังคงมีตำแหน่งในรัฐบาล แต่การไม่ให้นั่งในกระทรวงสำคัญเหมือน “หัก” กันในทางอ้อม เหมือน บิ๊กตู่ ไม่ไว้ใจ-ไม่เชื่อมือให้ทำงานอีกต่อไป
**หากจับจุดสังเกตุให้ดีจะพบว่า “พล.อ.ธนะศักดิ์” มาจากกองบัญชาการกองทัพไทย “พล.อ.อ.ประจิน” มาจากกองทัพอากาศ “พล.ร.อ.ณรงค์” มาจากกองทัพเรือ ตรงกันข้ามกับรัฐมนตรีสายกองทัพบก ที่ยังเหนียวแน่นในเก้าอี้รัฐมนตรี ได้คุมงานในตำแหน่งสำคัญ
บิ๊กตู่ อาจจะไม่ได้ชื่อว่า “ทิ้งเพื่อน” แต่ บิ๊กตู่ เลือกที่จะรักพี่-น้องในกองทัพบก มากกว่า อาจจะเป็นเพราะทำงานรู้ใจ-รู้ไส้-รู้พุง-รู้นิสัย กันมากกว่า
หลังจากนี้ต้องติดตามว่า ปรับครม.แล้ว การทำงานของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะดีขึ้นมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะโจทย์สำคัญคือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่นับวันยิ่งเลวร้ายมากขึ้น
** ปากท้องของประชาชน เป็นเรื่องสำคัญ หากบิ๊กตู่แก้ไม่ได้ คะแนนนิยมมีแต่ลดน้อยลง
“บิ๊กตู่” ตัดสินเฉียบขาดท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งกับ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ระยะหลังกินแหนงแคลงใจไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง
แตกต่างจากบทบาทของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ ที่ผลงานภายใต้หมวกที่ปรึกษา คสช.เด่นแจ่มชัด โดยเฉพาะการดีลธุรกิจกับทางการจีน
หม่อมอุ๋ย ขัดแย้งกับบิ๊กตู่ หลายเรื่อง โดยเฉพาะการอนุมัติโครงการต่างๆที่ รัฐบาล ตั้งความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นภาคการใช้จ่ายฐานราก แต่ไม่สามารถอนุมัติได้ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
จนบิ๊กตู่ ต้องเอ๋ยปากถามหม่อมอุ๋ย กลางวงประชุมครม. ถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกัน เพราะตามสไตล์หม่อมอุ๋ย คงไม่ชอบเหมือนกันที่จะให้มาด่ากันต่อหน้าคนหมู่มาก
ประกอบกับแรงยุจาก “กุนซือ” หลายคน และแรงส่งจากสื่อมวลชน ให้ บิ๊กตู่ ปรับครม. ยิ่งเพิ่มความไม่ลงรอยกันระหว่างบิ๊กตู่ กับหม่อมอุ๋ย
ทว่าบิ๊กตู่ พยายามไม่ใช้ไม้แข็งกับหม่อมอุ๋ย พยายามประนีประนอม ไม่ได้ตัดบัวไม่เหลือใยเสียทีเดียว เมื่อโจทย์ถูกตั้งว่าจะต้องเอา “สมคิด” เข้ามาช่วยงานด้านเศรษฐกิจ จึงมีการคิดสูตรทางออก-ทางรอดให้ “เสือ 2 ตัว” อยู่ถ้ำเดียวกันได้
จึงมีการเสนอสูตรแบ่งทีมเศรษฐกิจเป็น 2 ทีม ทำงานร่วมกันทั้ง 2 ขา โดยให้ หม่อมอุ๋ย นั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีตามเดิม แต่ให้ดูแลด้านการเงินการคลังเพียงอย่างเดียว ส่วน สมคิด ให้ดูแลงานเฉพาะพาณิชย์
สูตรนี้หากเกิดขึ้นจริง จะสามารถบาลานซ์ขุมข่ายทางเศรษฐกิจได้อย่างดี เพราะอย่าลืมว่า หม่อมอุ๋ย กับสมคิด มีคอนเนกชันกับภาคธุรกิจที่แตกต่างกัน หาก บิ๊กตู่นำทั้ง 2 ขุมข่ายมาบริหารร่วมกันได้ จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้รัฐบาลได้อย่างมาก
และอย่างน้อยก็ดีกว่าต้องผลักฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะ หม่อมอุ๋ยให้ไปเป็น “ศัตรู” ทางธุรกิจ
**แต่สุดท้ายสูตรในฝันของใครบางคนก็ต้องพับแผนหาทางกลับบ้านแทบไม่ถูก หลังมีกระแส หม่อมอุ๋ย ออกมาตำหนิ บิ๊กตู่ ต่อหน้าคนหมู่มากว่า นายกฯไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ แต่ชอบพูดมาก ทำให้บริหารงานยาก
วุ่นจนทีม “กุนซือ” ตึกไทยคู่ฟ้าต้องวิ่งวุ่น หาคลิปเสียง ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงมาเปิดฟังกันเลยทีเดียว จนสุดท้าย หม่อมอุ๋ย ต้องออกมาแก้ข่าวว่า ไม่ได้พูด แต่บิ๊กตู่ ก็ยังปราณี พร้อมยื่นข้อเสนอใหม่ให้หม่อมอุ๋ย ด้วยการลดออฟชั่นลง จากเดิมให้ดูแลกระทรวงการคลัง แต่ปรับใหม่ให้ดูแลกระทรวงไอซีที เพื่อคุมงานด้านเศรษฐกิจดิจิตอล
**ทว่าหม่อมอุ๋ย งอนแรง-อาฆาตลึก ไม่ยอมรับข้อเสนอที่บิ๊กตู่ ยื่นให้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ “ลูกทีม” ที่ไปชวนมาด้วยตัวเอง ต้องถูกปรับออกทั้งหมดด้วย
หม่อมอุ๋ย จึงไม่รับงานทั้งหมดที่บิ๊กตู่ เสนอให้ รวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วย จนนำมาสู่วลีเด็ดของ บิ๊กตู่ ที่ว่า ไม่รับก็ไม่รับ รอยร้าวของ บิ๊กตู่ กับหม่อมอุ๋ย สะเทือน รอยร้าวจากขุมข่ายทางธุรกิจของรัฐบาล ที่ยากจะประสานอย่างยิ่ง เรียกได้ว่า บิ๊กตู่ หมดตัวช่วยไปหนึ่ง แต่จะถึงขั้นผลัก “มิตร” ให้เป็น “ศัตรู” เลยหรือไม่ ต้องติดตามกันยาวๆ
นอกจากนี้ “บิ๊กตู่” ยังบริหารตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ ริบตำแหน่งของ “เพื่อน” ที่ร่วมคณะคสช.ยึดอำนาจ กันใหม่ ให้เหลือแค่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอย่างเดียว โดยให้ “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” จากเดิม รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ เหลือ รองนายกฯ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม เป็นรองนายกฯ “พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย” รมว.ศึกษาธิการ นั่งรองนายกฯ
แม้ บิ๊กตู่ จะยังใจดี ให้“เพื่อนร่วมรัฐประหาร”ยังคงมีตำแหน่งในรัฐบาล แต่การไม่ให้นั่งในกระทรวงสำคัญเหมือน “หัก” กันในทางอ้อม เหมือน บิ๊กตู่ ไม่ไว้ใจ-ไม่เชื่อมือให้ทำงานอีกต่อไป
**หากจับจุดสังเกตุให้ดีจะพบว่า “พล.อ.ธนะศักดิ์” มาจากกองบัญชาการกองทัพไทย “พล.อ.อ.ประจิน” มาจากกองทัพอากาศ “พล.ร.อ.ณรงค์” มาจากกองทัพเรือ ตรงกันข้ามกับรัฐมนตรีสายกองทัพบก ที่ยังเหนียวแน่นในเก้าอี้รัฐมนตรี ได้คุมงานในตำแหน่งสำคัญ
บิ๊กตู่ อาจจะไม่ได้ชื่อว่า “ทิ้งเพื่อน” แต่ บิ๊กตู่ เลือกที่จะรักพี่-น้องในกองทัพบก มากกว่า อาจจะเป็นเพราะทำงานรู้ใจ-รู้ไส้-รู้พุง-รู้นิสัย กันมากกว่า
หลังจากนี้ต้องติดตามว่า ปรับครม.แล้ว การทำงานของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะดีขึ้นมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะโจทย์สำคัญคือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่นับวันยิ่งเลวร้ายมากขึ้น
** ปากท้องของประชาชน เป็นเรื่องสำคัญ หากบิ๊กตู่แก้ไม่ได้ คะแนนนิยมมีแต่ลดน้อยลง