“กกร.” มองเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกแรกที่ ครม.อนุมัติ 1.3 แสนล้านบาทจะเห็นผลได้ใน 3 เดือน แต่ยังต้องการเสนอให้เพิ่มเติมระยะเร่งด่วนอีก 4 ด้าน ทั้งการลดภาษีเงินได้ SMEs กำหนดเป้าค้าชายแดนเป็น 2 ล้านล้านบาทในปี 2560 ตั้งทีมเศรษฐกิจจังหวัด และเพิ่มกำลังซื้อด้วยการเร่งระบายสต๊อกข้าวอย่างต่ำ 50%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทยในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นด้วยการอัดเม็ดเงินลงสู่ท้องถิ่น 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศให้ดีขึ้นได้ และคาดว่าจะเห็นผลใน 3 เดือนนี้ แต่ทั้งนี้ กกร.ต้องการเสนอมาตรการเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นซึ่งควรดำเนินการทันที และระยะกลาง 6-12 เดือนเพิ่มเติมให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ มาตรการระยะสั้นเร่งด่วนมี 4 เรื่อง ได้แก่ 1. การเพิ่มศักยภาพเอสเอ็มอี ด้วยการลดภาษีเงินได้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) เหลือ 5—15% ตามขั้นบันไดเพื่อให้จูงใจการจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งข้อเสนอนี้ทาง กกร. โดย ส.อ.ท.ได้เคยนำเสนอไว้แล้ว 2. การผลักดันการค้าชายแดน ที่ประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมายการค้าชายแดนที่ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2560 จากปัจจุบันที่มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท การขยายบทบาทหน้าที่ของพาณิชย์จังหวัดเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน และจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า/SMEs Outlet ในพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพ
3. เสนอให้ตั้งทีมเศรษฐกิจของจังหวัดโดยมีผู้แทนจาก กกร. และหน่วยงานราชการ 7แห่งในการกำกับดูแลของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อดูแลเศรษฐกิจจังหวัด โดยเฉพาะในการกระตุ้นให้เกิดการค้าและการลงทุนระดับภูมิภาคมากขึ้น 4. การสร้างกำลังซื้อภายในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ได้แก่ การเร่งรัดการระบายสต๊อกข้าวอย่างน้อย 50% เพื่อที่จะได้เงินหมุนเวียนในระบบและลดค่าใช้จ่ายของรัฐ
สำหรับระยะกลาง 6-12 เดือน ได้แก่ 1. การสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยให้เน้นสหกรณ์การเกษตรเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทั้งด้านการผลิตและการตลาด 2. การปรับวิธีการสรรหาผู้แทนการค้าไทย โดยให้ กกร.ร่วมในการจัดสรรหาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนของประเทศในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศโดยขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี 3. สนับสนุนโครงการ Product Champion เพื่อยกระดับ SMEs ให้มีการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานและเติบโตสู่ตลาดหลักทรัพย์ 4. การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการภาครัฐ โดยการสร้างกลไกพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นเรื่อง Ease of Doing Business/การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ