ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดก็ใช้เวลาประชุมเพียงแค่ชั่วโมงกว่าก็ได้ข้อสรุปปิดฉากกันแบบ “หมดจด” ไร้ข้อกังขากับการถอดยศ “พันตำรวจโท” ของ ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะกลายเป็น “นาย” ทักษิณ นำหน้าในอีกไม่นานนับจากนี้ รวมไปถึงจะมีกระบวนการเรียกคืนเครื่องราชย์ตามมาด้วย
การประชุมที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมทั้งตัวแทนฝ่ายกฤษฎีกา ตัวแทนฝ่ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมโดยใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียว ผลก็ออกมาแบบไม่ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย เพราะเป็นเพียงการนำเอาข้อสรุปที่มีอยู่แล้วมาประกาศให้สาธารณะได้ทราบเท่านั้น และเพื่อให้ชัดเจนทั้งสองรูหูก็ให้ฟังการแถลงของพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายาอีกครั้งก็แล้วกัน
“จากการพิจารณาตามข้อกฎหมายและหลักการ ที่ประชุมมีมติให้สามารถถอดถอนยศ พ.ต.ท.ทักษิณได้ เนื่องจากเข้าหลักเกณฑ์ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศ พ.ศ. 2547 ซึ่งระเบียบดังกล่าวสามารถใช้กับบุคคลที่ยังรับราชการและอยู่นอกราชการได้ โดยทางกฤษฎีกา ระบุว่า สามารถทำได้ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ในราชการตำรวจ และเคยตอบมาแล้วเมื่อปี 2554 ส่วนเรื่องที่สงสัยว่า ตร. ประกาศถอดยศจำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือไม่ ไม่จำเป็นเพราะเป็นเรื่องภายในราชการตำรวจ และทั้งสองประเด็นนี้ สตช. ได้เคยสอบสวนเมื่อปี 52 - 53 - 54 และได้ลงมติเรื่องการถอดยศมาแล้ว และในปี 2554 ก็มีคำวินิจฉัยของ สตช. ว่า ผิดในข้อ (2) ต้องคำพิพากษาศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกเว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ซึ่งพิจารณาถอดยศได้ ต่อมาก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อสอบถามว่าทำไมไม่ทำให้ครบในข้อ 6 ประเด็นการหลบหนี ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกัน”
“ส่วนอีกประเด็น คือ คณะทำงานได้พิจารณาประเด็นการประกาศรายชื่อตำรวจในราชกิจจานุเบกษา ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 ซึ่งทางสำนักตำรวจแห่งชาติได้ส่งหนังสือไปยังกฤษฎีกา ว่า พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร ได้บังคับใช้ก่อนระเบียบการถอดยศปี 2547 ทั้งนี้ กฤษฎีกาตอบกลับว่าทำได้ เพราะเป็นเรื่องภายใน และเมื่อถามเรื่องนี้ทาง สตช. ได้ใช้การถอดยศไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 จำนวน 632 คน โดยไม่ประกาศรายชื่อในราชกิจจานุเบกษา ส่วนกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีมติถอดยศมาแล้วตั้งแต่ปี 52 - 58”
“การประกาศถอดยศไม่ได้มีการประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา แต่เป็นการประกาศใช้ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2547 ดังนั้น ในกฎหมายดังกล่าวสามารถใช้ได้กับทุกคน เนื่องจากระเบียบข้อนี้มีการตีความแล้วใช้กับทุกคนที่รับราชการและไม่ได้รับราชการ” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
“ที่ผ่านมา ระเบียบข้อดังกล่าวได้ใช้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว 632 นาย ก็ไม่มีเหตุใดที่จะไม่ต้องใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ผบ.ตร. เป็นเรื่องของกระบวนการภายใน สตช. ซึ่ง ผบ.ตร. ก็มีหนังสือไปถึงคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร โดยผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งมาว่า อาจใช้ดุลพินิจในการรอคำตอบ เพราะตนไม่สามารถไปมีอำนาจในการสั่งการ ผบ.ตร. ได้ ซึ่ง ผบ.ตร. จะคอย แต่คณะกรรมการชุดนี้เห็นว่า ไม่มีเหตุอันใดที่จะละเว้นในการที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบหน้าที่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และขณะเดียวกัน ก็ทราบว่า มีข้าราชการตำรวจทั้งในและนอกราชการได้ดำเนินการให้เท่าเทียมกันกับทุกคน หลังจากนี้ จะทำหนังสือรายงานถึงนายกรัฐมนตรีว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะสั่งการต่อไปอย่างไร
ขณะเดียวกัน เมื่อฟังจากปากของ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล อดีตประธานคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตรที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นมาก็เคยสรุปยืนยันด้วยมติเอกฉันท์ถึงสองครั้งไปแต่ก็เฉย ยังอ้างว่าต้องพิจารณาให้รอบคอบจึงส่งต่อให้กำลังพลพิจารณาต่อแบบไม่กำหนดเวลา ซึ่งก็คือยื้อแบบไม่กำหนด คราวนี้ก็ได้ตอบคำถามอีกว่า ที่ผ่านมา ได้มีการนำข้อมูลดังกล่าวรายงานให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ทราบมาโดยตลอด กรณีที่เป็นประธานคณะอนุกรรมการได้มีมติในการพิจารณาเนื้อหาสาระเกี่ยวเนื่อง โดยเข้าองค์ประกอบความผิดทั้ง 6 ข้อ ตามระเบียบการถอดยศ หรือพฤติกรรม ซึ่งเราก็ได้เสนอไป แต่อำนาจการถอดยศเป็นดุลพินิจของ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สรุปก็คือเมื่อได้ฟังจากบุคคลดังกล่าวที่เกี่ยวข้องก็สามารถ “ชี้หน้า” ได้เลยว่าฝ่ายที่พยายามเตะถ่วงเบี่ยงเบนจะด้วยเจตนาซ่อนเร้นใดหรือไม่ ก็คือ ผูับัญชาการตำรวจแห่งชาติทุกยุคสมัยตั้งแต่ปี 2552 มาจนถึงปี 2558 ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันที่คิดจะเตะถ่วงเรื่องนี้ไปจนถึงเกษียณฯในอีกเพียงเดือนกว่าเท่านั้น
ที่กล่าวหากันจัง ๆ แบบนี้ ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่คณะกรรมการชุดที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา จะประชุมและได้สรุปออกมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ให้สัมภาษณ์แบบ “หล่อ ๆ” เขาพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบตามกฎหมายไม่ใช่ทำตามความต้องการของใครข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้นจึงได้ทำหนังสือถึงกฤษฎีกาเพื่อหารือข้อกฎหมายขณะนี้จึงต้องรอคำตอบอยู่ แต่หลังจากนั้น ดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการกฤษฎีกา ก็ออกมา “ตอกหน้าหงาย” ประจาน พล.ต.อ.สมยศ กันแบบจัง ๆ ว่า ที่ผ่านมา กฤษฎีกาเคยมีหนังสือตอบว่า “ถอดยศได้” ถึงสองครั้ง และล่าสุด ก็เป็นหลังสือฉบับที่สาม ดังนั้น จะ “ไม่ตอบ” อีกแล้ว เพราะชัดเจนไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อ “เรื่องแดง” ออกมาแบบนี้ มันก็เป็นการประจาน “ความห่วย” ของผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทุกยุคมาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปี 2558 ว่า เป็นใครชื่ออะไรกันบ้าง แต่คนปัจจุบันก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่คาดว่าจะยื้อไปจนกระทั่งเกษียณในวันที่ 30 กันยายน นี้ แต่เมื่อผลพลิกออกมาอีกแบบ มีความชัดเจนออกมาให้สังคมได้ทราบแล้ว นับจากนี้คงไม่อาจคาดหวังอะไรกับการทำงานของตำรวจที่มีผู้นำในยุคปัจจุบัน !!