ผ่าประเด็นร้อน
ที่จริงวันนี้เป็นวันมงคล ไม่น่าจะพูดถึงเรื่องเครียด ๆ แต่ก็อย่างว่าแหละเรื่องที่ต้องกล่าวถึงนั้นดันกลายเป็น “หนามทิ่มแทง” หัวใจคนไทยมานานนมแล้ว ก็คือ “พ่อเทวดา” ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังลอยนวลนั่งอยู่บนหัวชาวบ้านมานานหลายปีแล้ว ที่ผ่านมา ถูกฟ้องดำเนินคดีฐานทุจริตต่อหน้าที่ ทุจริตเงินงบประมาณ เคยถูกศาลสั่งยึดทรัพย์กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ถูกพิพากษาจำคุก แต่ก็ยังหลบหนีสร้างความปั่นป่วนอยู่ข้างนอกได้อย่างท้าทาย มิหนำซ้ำบางโอกาสกล่าวทำลายศาลในพระปรมาภิไธยอยู่เนือง ๆ
แต่ก็จนแล้วจนรอดกฎหมายของไทยก็ไม่สามารถแตะต้องคน ๆ นี้ ได้ ทั้งที่จะว่าไปแล้วบ้านเมืองที่วุ่นวายมานานก็มีสาเหตุมาจากคน ๆ นี้แหละ เพราะเมื่อชาวบ้านเขารู้ทัน ได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของ “อภิสิทธิ์ชน” แบบนี้มันก็ทนไม่ได้ ขณะที่คนพวกนี้มีอำนาจทางการเมือง มีอำนาจรัฐจากการใช้เงินงบประมาณลงทุนสร้างเครือข่ายจนเข้มแข็ง จนเกิดการปะทะกันขึ้น แต่ถึงอย่างไรพลังของฝ่ายที่ยึดมั่นในความ “เท่าเทียมกัน” ของกฎหมายก็ย่อมคงเส้นคงวาวันยังค่ำพิสูจน์ได้จากการออกมา “นับหลายล้าน” ที่ต่อต้านการออกกฎหมาย “ล้างผิดคนโกง” กันแบบสุดซอย เมื่อก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมาไงละ จนมีการเรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูป” บ้านเมืองกันอย่างขนานใหญ่ กดดันให้มีการพิจารณาถอดยศและริบเครื่องราชฯ ทักษิณ ชินวัตร ตามมาตรฐานเดียวกับคนทั่วไป เพราะหลักการก็คือไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย
แต่ที่ผ่านมา มันก็กลายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดกลับไม่เคยมีการพิจารณาให้เรื่องดังกล่าว มีข้อยุติแบบโปร่งใสเสียที มีแต่พิจารณาไปสักพักแล้วก็ปล่อยให้เงียบไปเฉย ๆ หรือบางยุคก็อ้างตรรกะพิลึกเพียงแค่ว่า ทักษิณ ชินวัตร มีคุณูปการกับบ้านเมืองต้องคืนความชอบธรรมให้ ความหมายก็คือ “ไม่ผิด” หรือไม่ก็ “กล่าวโทษศาล” ว่า “ยุติความเป็นธรรม” บิดเบือนว่าไปนั่นอีก
ล่าสุด มาถึงยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แรก ๆ ก็ดูขึงขัง มอบหมายให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปดำเนินการ ชาวบ้านก็ชักเคลิ้ม เพราะเคยประกาศวลีเด็ด “ใหญ่แค่ไหนก็จับ” ก็น่าจะเบาใจได้ มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ที่มี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เป็นประธาน ผลก็ก็ออกมาว่า “ให้ถอดยศ” ก็ส่งเรื่องไปให้ พล.ต.อ.สมยศ พิจารณา แต่ก็อ้างว่ายังไม่สมบูรณ์ต้องกลับมาพิจารณาใหม่ เมื่อคณะกรรมการชุดดังกล่าวพิจารณาทุกด้านก็ยืนยันแบบเดิม คราวนี้ พล.ต.อ.สมยศ กลับส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายกำลังพลพิจารณากันแบบไม่กำหนดระยะเวลา เมื่อถูกถามรุกเร้าหนักเข้าก็อารมณ์เสียย้อนกลับมาว่า “ถ้าผมไม่ทำตามใจแล้วจะทำอะไรผมได้”
ถึงตอนนั้นก็ถึงบางอ้อเป็นคำตอบชัดเจนอีกครั้งว่าทำไมถึงต้องปฏิรูปตำรวจกันแบบถอนรากถอนโคน เพราะความเชื่อถือศรัทธาต่อองค์กรนี้ในสายตาของชาวบ้านมันตกต่ำจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว และซ้ำร้ายกว่านั้น ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเคยประกาศว่า “ไม่มีเวลาปฏิรูปตำรวจ” ก็ยิ่งทำให้ห่อเหี่ยวพิกล เพราะความต้องการของสังคมเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ เรื่องดังกล่าวนั่นแหละ
นั่นเป็นเรื่องราวความเป็นมาระหว่างการปฏิรูป การถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ความเสื่อมศรัทธาเป็นคนละเรื่องเดียวกันที่พันกันยุ่งนุงนัง
อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นใหม่ เมื่อจู่ ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหนัาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มอบให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้ามา “รับงาน” เรื่องการพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร นี้ต่อ ซึ่งเขาก็รับลูกทันควัน ประกาศเป็นตารางปฏิทินขึ้นมาว่าจะต้องมีความชัดเจนว่า “ถอดยศได้หรือไม่ได้” ไม่ว่าออกทางไหนก็ต้องมีคำอธิบายได้ชัด ไม่มีกั๊กหรือซื้อเวลาออกไป เพราะพิจารณาตามระเบียบกฎหมายตามหลักเกณฑ์ทั่วไป ไม่ได้พิจารณาบนพื้นฐานว่า “คนที่ถูกถอดยศคือใคร”
ตามตารางเวลาวันที่ 11 สิงหาคม เวลา 15.00 น. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา จะเป็นประธานการประชุมพิจารณาถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฎีกา และฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม มาหารือซักถามข้อเท็จจริง พร้อมกับเอกสารหลักฐาน เพื่อหาข้อสรุปให้ได้ใน 2 ประเด็หลัก คือ สามารถดำเนินการถอดยศได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และที่ผ่านมาติดขัดประเด็นข้อกฎหมายใด จากนั้น จึงจะเสนอให้นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.พิจารณา เพราะกระทรวงยุติธรรมไม่มีอำนาจถอดถอน โดยจะพิจารณาจากข้อกฎหมายเท่านั้น ไม่ใช่ประเด็นตัวบุคคล หรือการปรองดอง
เมื่อเปิดหัวออกมาแบบชัด ๆ ตรง ๆ แบบนี้มันก็เริ่มได้ใจเต็มๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละในคำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้ยืนยันชัดเจนว่าไม่ว่าผลออกมาว่าต้อง “ถอดยศ” ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องส่งเรื่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาคสามสงบแห่งชาติพิจารณาชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งถึงตอนนั้นก็ต้องมาวัดใจกันอีกว่าเขา “จะเซ็น” หรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ “รับงาน ”จนหายเข้ากลีบเมฆ คราวนี้จะลงเอยแบบใดอีก !!