รองนายกฯ ฝากครอบครัวช่วยดูแลเด็กแว้น ต้องใจเย็นแก้ปัญหาหวังปรับใช้พลังไปทางบวก ชี้มาตรา 44 แก้ไม่ได้หมด รับจำเป็นต้องเอาเด็กต้องคดีมาอบรม แจงยังไม่มีข้อยุติภาษีบาป หนุนตรวจสอบงบให้เหมาะสม รับผ่านสภามีทั้งข้อดี-เสีย ระวังทำดีกลับไม่ดี
วันนี้ (10 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดรวมตัวกันของบรรดาเด็กแว้นที่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตจำนวนนับร้อยคันเพื่อจะเดินทางไปยังน้ำตกวังตะไคร้ จ.นครนายก ว่า เด็กเหล่านี้จะมีพลัง มีแรงเยอะ และต้องการท้าทาย ต้องพยายามดูแล โดยเฉพาะครอบครัวต้องช่วยดูด้วยเพราะหากมาคุมทีหลังจะยาก ที่ผ่านมาทางภาครัฐพยายามทำให้เด็กเหล่านี้ใช้พลังไปในทางสร้างสรรค์ ก็ต้องใจเย็นๆ และทุกสังคมก็จะมีปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่แค่สังคมไทย ต้องดูว่าทำอย่างไรจะให้เขาใช้พลังไปในทางบวกได้
“คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามมาตรา 44 ไม่สามารถแก้ปัญหาได้หมด แค่กำชับได้นิดหน่อย และถ้าจะใช้ไม้แข็งกับเด็กเหล่านี้ก็ต้องดูเหมือนกัน เพราะอาจจะใช้ได้แค่ชั่วคราว หรืออาจจะมีแรงสะท้อนหรือแรงต้านกลับมาก็ได้” รองนายกฯ กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่าหากจะนำเด็กเหล่านี้มาอบรมน่าจะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า หากเป็นเด็กที่ต้องคดีก็คงจำเป็น
นายยงยุทธกล่าวต่อถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับเงินภาษีบาปที่ไปอุดกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) ว่าขณะนี้ยังไม่มีข้อยุติว่าจะเป็นอย่างไร แต่เห็นหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นด้วย
“เมื่อสักครู่ทาง สสส.ได้แจ้งให้ผมทราบแล้วว่า ทางคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) จะเข้ามาตรวจสอบ ผมก็แจ้งกลับไปแล้วว่ายินดีให้ตรวจสอบ เพราะเงินส่วนนี้เมื่อได้มาก็ต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามีการนำไปใช้อย่างถูกต้อง และไม่ฟุ่มเฟือย ดังนั้นเห็นด้วยเต็มที่ที่จะมีระบบตรวจสอบที่เหมาะสม” รองนายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เงินส่วนนี้จะไม่มีปัญหาทางด้านการเงินการคลังใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่น่าจะมี เพราะผู้จ่ายก็คือบริษัทเหล้า บุหรี่ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เพิ่งเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และตนก็ยังไม่ได้ประชุมร่วมกับ สสส.แต่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ สสส.บางคนให้ชี้แจงเรื่องเหล่านี้แล้ว
เมื่อถามว่าหากให้ผ่านสภาจะทำให้การพิจารณารอบคอบขึ้นหรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า ถ้ามองในแง่ดีก็ถือว่ารอบคอบขึ้น แต่ถ้ามองในแง่ของความเป็นห่วง ก็อาจจะเป็นไปได้ที่อาจจะถูกแทรกแซงทางการเมืองได้ และยิ่งถ้าหน่วยงานที่เกิดขึ้นใหม่ ไปอยู่ใต้กระทรวงซึ่งต่อไปยังไม่รู้ใครจะมาคุม ถ้าเผื่อเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดที่ส่วนใหญ่รับไม่ได้ก็จะมีปัญหาได้ เราก็ต้องระวัง บางทีอยากทำให้ดีกลับกลายเป็นไม่ดี