เกาะกระแส
00 เวลานี้กระแสผู้อพยพชาวโรฮีนจา กำลังขึ้นสูง เพราะกำลังเป็นที่สนใจของโลกมากขึ้น และที่สำคัญสายตากำลังจับจ้องมาที่ไทยในฐานะเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็น "ทางผ่าน"ของผู้อพยพกลุ่มนี้ว่าจะมีท่าทีอย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไร จะยอมให้ตั้งศูนย์อพยพตามแรงกดดันของมหาอำนาจตะวันตกจอม "แส่"หรือไม่ ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งนี่คือโอกาสในการ"สร้างชื่อ"พิสูจน์กึ๋นของผู้นำไทยในยุคปัจจุบันคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าอยู่ในระดับใดกันแน่ !!
00 ในท่ามกลางแรงกดดันจากทั่วทิศทั้งในประเทศที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง ที่กำลังจับตามองว่า จะดำเนินนโยบายกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร จะยอมตั้งค่ายอพยพในชื่อเรียกว่า "ศูนย์พักพิงชั่วคราว" หรือศูนย์กักกันชั่วคราว อ้างว่าเพื่อรอขั้นตอนการดำเนินคดีกับผู้หลบหนีเข้าเมืองก่อนผลักดันออกไป โดยมีการเล็งพื้นที่ตามเกาะแก่งในภาคใต้ไว้รองรับ แต่คำถามก็คือเรากำลังทำตามแรงกดดันของมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ ขณะเดียวกันน่าจับตามองว่าผู้นำ คสช.กำลังใช้โอกาสนี้เพื่อต่อรองให้ได้รับการยอมรับจากตะวันตก หลังจากก่อนหน้านี้เคยดิสเครดิตมาตลอดถึงขั้น"ห้ามเข้าประเทศ"มาแล้ว
00 อย่างไรก็ดีเมื่อเกิดกรณีผู้อพยพชาวโรฮีนจาบานปลายขึ้นมา ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ต้องมีบทบาทสำคัญขึ้นมาทันที เพราะทั้งสหรัฐฯโดยรมว.ต่างประเทศ จอห์น แครี่ ถึงกับยกหูต่อสายกลางดึกถึงรมว.ต่างประเทศไทย พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร แล้วน่าสังเกตก็คือจากนั้นเราก็ประกาศให้มีการจัดหาสถานที่พักพิงชั่วคราวให้ผู้อพยพพวกนี้ทันที พร้อมทั้งประกาศท่าทีสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพประชุมตัวแทนประเทศที่ได้รับผลกระทบจากผู้อพยพโรฮีนจาในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ที่กรุงเทพฯ
00 แน่นอนว่าการมีมนุษยธรรมกับเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใด ศาสนาใดเป็นเรื่องที่ต้องทำโดยจิตสำนึกอยู่แล้ว แต่การทำตัวเป็น"ม้าอารี"แบบเกินฐานะ ประเภท"สร้างเครดิต"แบบไม่มองตัวเอง มันก็ต้องคิดให้หนัก อีกอย่างในเมื่อทุกฝ่ายแม้กระทั่งชาวโรฮีนจาเองก็ยังรับว่า"ไทยคือทางผ่าน" ไม่ใช่ประเทศปลายทาง เราก็ต้องย้ำท่าทีนี้ว่า"ให้ผ่านไปที่อื่น"โดยการส่งน้ำส่งข้าวตามความจำเป็นเพื่อประทังชีวิต แต่ไม่ใช่ให้ที่พักพิง ไม่ว่าจะเป็นแบบชั่วคราว กึ่งชั่วคราว เพราะนี่คือปัญหาทั้งที่ต้นทางและปลายทางยังไม่มีทางออก มีแต่"พวกที่อ้างมนุษยชนแล้วเท่"เท่านั้นที่ได้ประโยชน์
00 ชายแดนใต้โดยเฉพาะที่ยะลาร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งจากการสร้างสถานการณ์ดิสเครดิตฝ่ายความมั่นคงในกลางใจเมืองด้วยระเบิดขนาดเล็กแบบพกพารวมหลายสอบจุด และด้วย"กลิ่นแปลกๆ"นี่เองที่ทำให้ รมช.กลาโหม และผบ.ทบ.พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ต้องบินด่วนลงพื้นที่อำนวยการป้องกันและรับมือไม่ให้ลุกลามออกไป และกำลังจับตา"กลุ่มการเมืองในพื้นที"ที่เคลื่อนไหวออกมาพร้อมๆกับ"ชายแก่ชื่อไม่ใหญ่"คนหนึ่งที่ประกาศความพร้อม"กลับมา"พอดี มันน่าคิดเหมือนกันนะ !!
00 พูดเรื่อง รธน.ฉบับใหม่กันบ้าง ล่าสุด อลงกรณ์ พลบุตร สปช.เป็นเผยว่า ประธานสปช.เทียนฉาย กีระนันทน์ ได้ส่งมติของสปช.ที่สนับสนุนให้ทำประชามติร่างรธน.ใหม่ทั้งฉบับกับรัฐบาลและ คสช.แล้ว แต่มี่พิเศษก็คือมีการขยายเวลาในการกระบวนการทำประชามติดังกล่าวเป็น 6 เดือน จากเดิมที่กำหนดใน รธน.ชั่วคราวว่าภายใน 3 เดือน อ้างว่าเกรงจะไม่ทัน เพราะต้องส่งสำเนารธน.ให้ประชาชน 47 ล้านคนพิจารณาโดยละเอียด นั่นก็หมายความว่าการเลือกตั้งก็ต้องเลื่อนออกไปอีกไม่น้อยกว่า ครึ่งปี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องจับตาผลการประชุมระหว่าง ครม.กับคสช.ว่าจะเอาแบบไหน ถ้าเห็นตามก็ต้องแก้ไขรธน.ฉบับชั่วคราวอย่างน้อยสองเรื่องแล้วคือ เรื่องการทำประชามติ และเรื่องขยายเวลาจากเดิม 3 เดือนเป็น 6 เดือน !!