ป้อมพระสุเมรุ
เรื่องร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ “ดร.ปื๊ด”บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ และชาวคณะ ทำเอาสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันขรมเมืองมาสักระยะใหญ่ๆ เรียกว่า คลำมาตราไหนตรงนั้นเป็นอันต้องมีประเด็นให้ถกเถียงกันตลอด
ไม่รู้ว่าจาก 315 มาตรา พอแปรญัตติกันออกมา เบ็ดเสร็จจะด้วนไปเหลือสักเท่าไร เพราะแม้แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2 แม่น้ำสายหลัก ที่มอบหมายให้ “เนติบริกร”วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นแม่งาน ยังรับกันตรงๆว่า มีประเด็นคลุมเครืออยู่เพียบ
โดยเฉพาะเรื่องสภาขับเคลื่อนฯ และสมัชชาต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด “ซือแป๋วิษณุ”หลุดปากมาแล้วว่า อาจต้องหั่นทิ้ง เพราะหากปล่อยให้มี นอกจากจะถูกมองเป็นการสืบทอดอำนาจแล้ว ยังสิ้นเปลืองงบประมาณ รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศไม่น่าจะขยับตัวอะไรได้
แถมตัวโครงสร้างเหล่านี้ยังมาจากบุคลากรในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางส่วน ซึ่งไม่สง่างาม นอกจากจะไม่แก้ปัญหาที่คาราคาซัง ยังเป็นการสร้างปัญหาใหม่ มิวายได้ตีกันอุตลุดอีกรอบเป็นแน่ ประเด็นเหล่านี้ น่าจะโดนขวางสุดตัว
แล้วก็บังเอิญพอดิบพอดีกับที่ “ดร.ปื๊ด”พร้อมกับทีมงานกมธ.ยกร่างฯ และสมาชิกสปช. บางส่วน ย่องเงียบเข้าไปรับการสรรหาเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) แทนชุดเก่าที่มี “มิสเตอร์ปรองดอง”คณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่หมดวาระลงไป ทำให้หลายฝ่ายชักสงสัย แม่น้ำแต่ละสาย เริ่มจะกระจัดกระจายกันไปแฝงตัวอยู่ตามองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ
โดนจวกยับ ตัดกิเลสกันไม่ค่อยขาด แม้หมดหน้าที่ไปแล้ว แต่ยังไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง เพราะเป็นคนไปร่างออกแบบกันมา สะท้อนให้เห็นอารมณ์คนในแม่น้ำ 5 สาย เหมือนกันว่า สารภาพกันทางอ้อมว่างานปฏิรูปยังไม่บรรลุเป้าหมายได้ทันการณ์ ที่โรดแมป จะเข้าระยะที่ 3 เลยต้องหาช่องไปสานต่อ
ว่ากันตามสภาพความเป็นจริง ไม่นับรวมร่างรัฐธรรมนูญที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันยังไม่ตกผลึก งานด้านอื่นๆ ที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ตอนแรกว่า ในช่วงอยู่บนคานอำนาจ น่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ ไปๆ มาๆ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ
เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ที่ตีธงจะกำราบให้สิ้นซาก อาจดูเป็นเนื้อเป็นหนังตามที่ “บิ๊กตู่”แอ็กชั่น ไล่ฟันข้าราชการที่พัวพันการทุจริตแบบไม่ไว้หน้าใคร คดีความต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเดินไปด้วยความรวดเร็วขึ้น ไม่มีอุปสรรค แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่ชั่วครั้งชั่วคราว เกิดจากอิทธิฤทธิ์ “รัฐบาลทหาร”ที่ถือกระบองยักษ์อยู่ พอหมดอำนาจ ทุกอย่างก็จะไหลกลับเข้าสู่วังวนเดิมๆ
ถือเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ระยะยาวยังไม่มีอะไรเป็นมรรคเป็นผล นอกจากกลไกการตรวจสอบที่ติดดาบให้องค์กรอิสระมีมากขึ้น เหี้ยมโหดขึ้น แต่ยังไม่รู้ว่า จะทำให้นักการเมืองสะพรึงกลัวได้หรือไม่ อย่างที่รู้กันว่า ที่มาของบุคคลในองค์กรอิสระเองก็โดนตั้งคำถามว่า "เป็นกลาง" แค่ไหน
ปัญหาเรื่องผู้อิทธิพล หรือมาเฟียทั้งหลาย ที่นาทีนี้ “บิ๊กตู่”ได้รับการยกย่องจากสังคมกันระวิงว่า ไม่มีรัฐบาลไหนจะมีอำนาจและกล้ากวาดล้างเอาจริงเอาจังโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แบบยุคนี้อีกแล้ว ว่ากันตามตรงคล้ายประเด็นหวยราคา 80 บาท พอ “คสช.”หมดอำนาจ เหล่าเสือหมอบแมวเซา ก็ออกมาอาละวาดเหมือนเดิม หากไม่ออกกฎเหล็กระยะยาว
ขณะที่เรื่องปฏิรูปตำรวจ ลำพังแค่ประเด็นแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังวัดพลังภายในกันไม่หยุด เหล่าสีกากีเอง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ก็ตั้งท่าสู้หัวชนฝา แถมมีแบ็กอัพระดับมีเพาเวอร์ อย่าง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นอีกแรงหนุน ส่อเค้าจะยืดเยื้อเป็นเรื่องของอนาคตเสียแล้ว
ยังไม่รวมถึงเรื่องการสร้างความปรองดองของคนในชาติ ประเด็นนี้ติดหล่มกันหนักสุด เหมือนจะนึกไอเดียอะไรก็ไม่ออกก็วกกลับเข้ามาเรื่อง “อภัยโทษ”หรือ“นิรโทษกรรม”ไม่มีอะไรแปลกใหม่จากเมื่อครั้งรัฐบาลปกติ
ยิ่งปัญหาเศรษฐกิจ คะแนนเต็มสิบ ต้องให้ติดลบ เพราะเป็นจุดด้อยที่สุดของ“รัฐบาลทหาร”ชุดนี้ รัฐมนตรีหลายคนชื่อชั้นไม่ถึง บางคนหมดยุค ความคิดไม่เหมาะกับยุคนี้ แต่ “บิ๊กตู่”ก็ยังกัดฟัน ไม่ปรับ ครม. เพราะเกรงอกเกรงใจ จนกลายเป็นตัวฉุดทุกวันนี้
สารพัดปัญหาส่อเค้าว่า ไม่ทันตามโรดแมปแทบจะแบเบอร์ ส่วนบางเรื่องที่ทำก็เป็นแค่การใช้อำนาจกดเอาไว้ระยะสั้นเท่านั้น “บิ๊กตู่” เองก็รู้อยู่เต็มอก วันก่อนถึงได้ยอมรับกันตรงๆ "ไม่เสียของ เวลาผมอยู่ แต่ถ้าผมไม่อยู่ ผมก็ไม่มั่นใจ”
ตามคิวที่องคาพยพเริ่มจะปล่อยไอเดียพิลึกๆ แต่เป็นแนวทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องช่องทางต่ออายุให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อเพื่อแก้ปัญหาให้ลุล่วงก่อน อย่าง “ไพบูลย์ นิติตะวัน”กมธ.ยกร่างฯ ที่แท็กทีมกลุ่มเพื่อน เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ทำประชามติสอบถามประชาชนว่า จะรับรัฐธรรมนูญ หรือจะให้รัฐบาลปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง 2 ปี
ขณะที่ก่อนหน้านี้ “วันชัย สอนศิริ”สมาชิก สปช. ก็พูดในโทนเสียงเดียวกัน ในลักษณะให้รัฐบาลทำงานต่อ เพราะผลงานกำลังขึ้นหม้อ แก้ปัญหาให้เสร็จค่อยลาโรงก็ไม่น่าเกลียด แต่โดยธรรมชาติ “รัฐบาลบิ๊กตู่”ไม่มีทางเด้งรับลูกมุกนี้อยู่แล้ว ขืนกระโดดงับข้อเสนอดังกล่าว โดนแฉกันล่อนจ้อนแน่ว่า หวังสืบทอดอำนาจ อยู่กันให้ยาวๆ
มองได้เหมือนกันว่า ข้อเสนอให้รัฐบาลอยู่ต่อของบรรดาองคาพยพทั้งหลาย เป็นการโยนหินถามทาง ในขณะที่สังคมกำลังชื่นชมผลงาน “บิ๊กตู่”ที่เดินหน้าตึงราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลให้อยู่ที่ใบละ 80 บาท การกวาดล้างผู้มีอิทธิพล มาเฟีย ที่ทำธุรกิจสีเทา การเปิดหน้าใส่กับพวกรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน หรือการไล่ปราบข้าราชการกังฉิน จนหลายคนทึ่ง
ทั้งที่สภาพความเป็นจริงเป็นเพียงปัญหาแค่บางส่วนเท่านั้น ยังเหลืออยู่ใต้พรมอีกเพียบ ที่ยังไม่ได้ปัดกวาด และระยะเวลาที่เหลือไม่น่าจะพอ แต่โอกาสที่ข้อเสนอจะนำไปสู่การปฏิบัติจริงแทบไม่มี เพราะการชูประเด็นลักษณะนี้เป็นผลเสียกับรัฐบาลมากกว่า
เพียงแต่ว่า ในภาวะที่แม่น้ำแต่ละสายกำลังกลายเป็น “หนูติดจั่น”ทำอะไรกันไม่ถูก ทุกอย่างบีบรัดไปหมด เลยพยายามชูประเด็นแปลกๆ ออกมา หาทุกช่องทางในการทดเวลาบาดเจ็บ
ดูอย่าง “ซือแป๋วิษณุ”แล้วกัน จู่ๆ เปรยๆ ว่า อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อขยายเวลาแปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญของ กมธ.ยกร่างฯ เพิ่มจาก 60 วัน