xs
xsm
sm
md
lg

ไม่จบ! ผู้บริหาร “ฟ้าวันใหม่” ออกแถลงการณ์สับอนุฯ กสทช. - แกนนำแดงอัดถูกยัดเยียดความผิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ ทำหนังสือชี้แจงเพิ่มเติม และขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการ กสท.
ไม่จบ! ผู้บริหาร “ฟ้าวันใหม่” สับ “ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ” อนุกรรมการฯ กสทช. แขวะ! เขาสรรหาคนที่มีคุณสมบัติอย่างไรมาตัดสินเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ตั้งข้อสังเกตใครกัน ใช้อำนาจฝ่ายเดียวปกคลุมไปหมด “เถกิง” โพสต์ “จ่อขึ้นเขียงตามรอยพีซทีวี” ก่อนออกแถลงการณ์ขอความเป็นธรรม ด้านแกนนำ “เสื้อแดง-พีซทีวี” ดิ้นต่อออกแถลงการณ์ย้ำถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จให้รายการ “มองไกล” ที่ “ตู่-จตุพร” ดำเนินรายการ

วันนี้ (1 พ.ค.) มีรายงานว่า เฟซบุ๊กในชื่อของนายเถกิง สมทรัพย์ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ “ฟ้าวันใหม่” ระบุว่าเขียนเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ถึงการเข้าพบคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหาและกำกับรายการของ กสทช. ต่อเนื่องจากการเข้าพบเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ระบุว่า

“นั่งทบทวนตอนไปพบอนุกรรมการด้านเนื้อหาฯ ของ กสทช. เกิดสงสัยว่า 1. เขาสรรหาคนที่มีคุณสมบัติอย่างไรมาตัดสินเรื่องใหญ่ขนาดนี้ และมีกระบวนการสรรหาคนมาอย่างไรจึงจะมั่นใจว่าเหมาะสมและมีองค์คณะที่เป็นธรรม 2. กระบวนการพิจารณาเพื่อเสนอบทลงโทษ หละหลวม คนที่โดนกล่าวหาแทบจะไม่มีทางแก้ต่างอย่างเป็นระบบ

3. บรรยากาศของการใช้อำนาจ “ฝ่ายเดียว” ปกคลุมไปหมด 4. กระบวนการไต่สวน สืบสวน สอบสวน ฯลฯ ควรประณีตกว่านี้ไหม นี่เป็นเพียงความสงสัยนิดๆ”

ล่าสุด นายเถกิง สมทรัพย์ และนายวิทเยนทร์ มุตตามระ ในฐานะกรรมการบริหาร บริษัท บลูสกาย แชนเนล จำกัดได้ออกแถลงการณ์เรื่องขอความเป็นธรรม ถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (กสท.) มีความว่า

“ตามที่สำนักงานเลขาธิการ กสทช.ได้เชิญ บริษัท บลูสกาย แชนเนล จำกัด เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ เมื่อวันจันทร์ ที่ 27 เมษายน 2558 โดยระบุว่า เนื้อหารายการของสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่อันได้แก่ รายการถอนพิษ ออกอากาศเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2558 รายการข่าวฟ้ายามเย็น ออกอากาศ เมื่อวันที่ 17 และ 20 มีนาคม 2558 และรายการวิเคราะห์คอลัมนิสต์ ออกอากาศเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 โดยกล่าวหาว่า มีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนเข้าใจผิดก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในสังคม เป็นการออกอากาศเนื้อหารายการที่อาจขัดต่อประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557

ในฐานะผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ จึงทำหนังสือฉบับนี้เพื่อชี้แจงเพิ่มเติม และขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการ กสท. ดังนี้

1) ในวันที่อนุกรรมการฯ เชิญตัวแทนของสถานีฯเข้าชี้แจง ประธานในที่ประชุมมีท่าที แข็งกร้าว เกรี้ยวกราด แสดงท่าทีคล้ายมีอคติ มีการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เช่น “พวกคุณทำบ้าอะไรกันวะ” “นี่พวกคุณยังไม่เข้าใจอีกหรือวะ” เป็นต้น และไม่เปิดโอกาสให้ตัวแทนสถานีชี้แจงอย่างเต็มที่

จากท่าทีของประธานในที่ประชุมในวันดังกล่าวทำให้ตัวแทนของสถานีเกรงว่ามติของอนุกรรมการฯวันนั้นจะลงโทษทางปกครองกับสถานีฯในสถานหนัก เกินกว่าขั้นตอนการลงโทษทางปกครอง เช่น เริ่มต้นจากการตักเตือนด้วยวาจา ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร สั่งปรับ ระงับใบอนุญาตชั่วคราว และเพิกถอนใบอนุญาต (ตามที่ พันเอก นที ศกุลรัตน์ ประธาน กสท.ได้ชี้แจงไว้ในกรณีของสถานีพีซทีวี)

2) ตัวแทนของสถานีมีโอกาสชี้แจงรายละเอียดเนื้อหารายการเพียงรายการเดียว คือรายการถอนพิษ ส่วนรายการอื่นๆ ได้เพียงตอบข้อซักถามของที่ประชุมว่า เป็นรายการที่ออกอากาศทางสถานีจริงหรือไม่ เป็นรายการที่ออกอากาศสด หรือบันทึกเทปเท่านั้น จึงเห็นว่า การซักถามข้อมูลเพียงเท่านั้นไม่เพียงพอที่จะใช้ เป็นข้อมูลในการลงมติกำหนดโทษในทางปกครองกับทางสถานีฯ

3) ในการชี้แจงรายละเอียดเนื้อหารายการถอนพิษ ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2558 เป็นกรณีที่ศาลจังหวัดพัทยา พิพากษาลงโทษจำคุกนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กับพวก กรณีบุกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนปี 2553

ประธานในที่ประชุมเห็นว่า เป็นการนำเสนอเรื่องเก่าทำให้เกิดการแตกแยก ขัดแย้งในสังคม ตัวแทนของสถานีได้ชี้แจงว่า ข้อมูลและคลิปวิดีโอที่นำเปิดในรายการมิใช่เป็นการนำเรื่องเก่ารื้อฟื้นแต่เนื่องจากศาลจังหวัดพัทยาเพิ่งมีการพิพากษาตัดสินคดีดังกล่าวจึงอยู่ในความสนใจของประชาชนในขณะนั้น นอกจากนี้คลิปและข้อมูลที่นำมาใช้เป็นเรื่องจริงมิได้มีการบิดเบือน

อนุกรรมการฯ ท่านหนึ่งระบุว่า แม้เป็นเรื่องจริงก็นำเสนอไม่ได้เพราะ ทำให้เกิดการแตกแยกไม่เสริมสร้างความปรองดอง ในขณะที่ประธานอนุกรรมการฯ อ้างว่าเป็นนโยบายของ คสช.ที่แม้เป็นเรื่องจริงก็ไม่ให้นำเสนอเพราะทำให้เกิดความแตกแยกเพิ่มขึ้นอีก

ข้อเท็จจริง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ว่า “ผมไม่เคยไปห้ามให้เสนออะไรไม่ได้เลยแต่อะไรที่ขัดแย้งกันแล้วเป็นเรื่องจริงผมไม่ว่า แต่หากไม่ใช่เรื่องจริงต้องสังคายนากันหน่อย”

สถานีฟ้าวันใหม่จึงเกรงว่าคณะอนุกรรมการฯ จะมีความเข้าใจคำว่า “ปรองดอง” คลาดเคลื่อนไปจากนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และมีการลงมติเสนอลงโทษทางปกครองด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นธรรม

4) ในส่วนของรายการอื่นๆ อีก 2 รายการ คือ รายการข่าวฟ้ายามเย็น และรายการ วิเคราะห์คอลัมนิสต์นั้น ตัวแทนของสถานีฯ ยังไม่มีโอกาสชี้แจงรายละเอียดต่อคณะอนุกรรมการฯ มีเพียงการสอบถามว่าเป็นรายการที่ออกอากาศทางสถานีฯ จริงหรือไม่ เป็นรายการสดหรือรายการบันทึกเทปเท่านั้น

สถานีขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า หากคณะกรรมการ กสท.เห็นว่าเนื้อหาของรายการทั้งสองมีข้อความส่อเสียดไม่เหมาะสม ทางสถานีขอน้อมรับนำมาปรับปรุงแก้ไขและตักเตือนผู้ดำเนินรายการทั้งสองรายการให้ระมัดระวังในการใช้คำพูดมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสถานีเห็นว่าไม่ถึงขั้นทำให้เกิดความสับสน เข้าใจผิด ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในสังคม ไม่มีการยุยงปลุกปั่น จึงขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการกสท.ว่า เนื้อหาทั้งสองรายการไม่ถึงขั้นจะลงโทษ สถานีในสถานหนัก

5) สถานีให้ความร่วมมือ กสทช.ด้วยดีเสมอมาในการปรับปรุงผังรายการ เนื้อหารายการ ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับบันทึกข้อตกลง ระหว่างสถานี และสำนักงาน กสทช. เช่น เพิ่มรายการที่มีเนื้อหาสาระสร้างสรรค์ มีการจัดการแข่งขันประกวดความคิดของ เยาวชนในการปฏิรูปประเทศไทย รายการคิดสร้างชาติ และสถานีได้มีความพยายาม ที่จะตักเตือนผู้ดำเนินรายการของสถานีให้ใช้ความระมัดระวังในการวิพากษ์วิจารณ์ หลายครั้งหลายโอกาสได้มีความพยายามในการนำเสนอข้อมูลสองด้านเช่น สัมภาษณ์อดีต นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย เป็นต้น

สถานีฯ ขอยืนยันว่า สถานีฯให้ความร่วมมือในการเสริมสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติตามนโยบายของ คสช.อย่างเต็มที่ตลอดมาและให้ความร่วมมือกับคณะอนุกรรมการฯด้วยดีตลอดมา การนำเสนอข่าวสารของสถานีเป็นการนำเสนอข้อเท็จจริง มิได้มีการบิดเบือนความจริง หรือมีวัตถุประสงค์ที่จะยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม

ทั้งนี้ สถานียังไม่เคยได้รับการตักเตือนจาก กสทช.เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างไร จึงขอความเป็นธรรมจากคณะกรรมการ กสท.

จึงเรียนมาเพื่อทราบและโปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรม

ขอแสดงความนับถือ

(นายเถกิง สมทรัพย์/นายวิทเยนทร์ มุตตามระ)
กรรมการบริหาร บริษัท บลูสกาย แชนเนล จำกัด”

นอกจากนั้นยังพบว่า นายเถกิงได้เขียนเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ระบุถึงเรื่องดังกล่าวว่า “ฟ้าวันใหม่...ชะตากรรมที่ถูกกำหนด”

“ครั้งสุดท้ายที่ผมกับวิทเยนทร์ไปพบกับคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหาและกำกับรายการ ของ กสทช. นั้นคือตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 คณะอนุกรรมการฯชุดนี้ มี พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ หนึ่งในกรรมการ กสทช.เป็นประธาน... พวกเราจะพบกับ กสทช.คนนี้ตลอด

กรณีที่ไปพบนั้นคือทำรายการไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ โดนเสนอปรับ 50,000 บาท โดยมีรายการที่ถูกกล่าวถึงคือรายการวิเคราะห์คอลัมนิสต์ของคุณเทพไทกับคุณถนอม ไปพาดพิงสมาชิกของพรรคเพื่อไทยหลายคน ผมท้วงไปว่า ทำไมคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้เสนอปรับไทยพีบีเอส กรณีเข้าข่ายละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ 50,000 บาท เท่ากับเทพไท ไปพาดพิงสมาชิกพรรคเพื่อไทย

อนุกรรมการท่านหนึ่งชี้แจงว่า ท่านเสนอปรับไทยพีบีเอสในอัตราสูงสุดคือ 500,000 บาท แต่มติอนุกรรมการฯ ออกมาให้ปรับไทยพีบีเอสต่ำสุดคือ 50,000 บาท ผมไม่ว่าถ้าฟ้าวันใหม่ทำผิด แล้วโดนปรับ แต่ผมติดใจที่อนุกรรมการฯมีมติปรับ 2 กรณีในอัตราเท่ากัน อย่างไรก็ตาม เมื่ออนุกรรมการเสนอมติปรับขึ้นไปยังกรรมการชุดใหญ่ มติโดนส่งกลับมายังอนุกรรมการ ในช่วงนั้นฟ้าวันใหม่ทำ

เรื่องชี้แจงเข้าไปอีก อนุกรรรมการยกเรื่อง ไม่ดำเนินการต่อจบกันไป

ตั้งแต่ธันวาคม 2557 ฟ้าวันใหม่ไม่เคยได้รับการติดต่อเรื่องเนื้อหารายการใดๆจากอนุกรรมการชุดนี้เลย ผ่านไปกว่า 4-5 เดือนเราถูกเรียกไปชี้แจงรายการที่ถูกระบุว่าเข้าข่ายละเมิดข้อตกลง ในช่วงนั้นพีซทีวีโดนทั้งปิดชั่วคราวและโดนปิดถาวร จากมติของอนุกรรมการฯ และกรรมการชุดใหญ่ของ กสท. (กรรมการ 5 คนจาก กสทช.)

วันที่ 27 เมษายน 2558 เป็นเวลา 4 เดือนเต็มที่ผมกับวิทเยนทร์ไม่ได้พบคณะอนุกรรมการฯชุดของ ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ ไปพบคราวนี้ก็เหมือนทุกครั้งคือนั่งชมรายการทีวีของฟ้าวันใหม่ที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าข่ายทำให้แตกแยก ละเมิดข้อตกลง ฯลฯ

แถมยังโดนคุณพีระพงษ์ซัดกลางที่ประชุมด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “พวกคุณทำบ้าอะไรกัน” อันเป็นที่มาของการที่ผมต้องกดปุ่มไมโครโฟนปิดเสียงคุณพีระพงษ์เพื่อขอให้ท่านหยุดพูดถ้อยคำเกรี้ยวกราด เพราะถึงผมจะไปในฐานะเหมือนจำเลยแต่คงลำบากใจที่จะโดนถูกด่า ผมจึงขอให้ท่านระงับอารมณ์ หันมาคุยด้วยเหตุผล “ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน” ส่งผลให้ท่านใจเย็นลงจนจบการประชุม (หลังการประชุมเป็นอย่างไร ไม่ทราบ)

คำว่า “ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน” ที่พูดออกไปนั้น ไม่ได้คิดไว้แต่แรก แต่บังเอิญมองไปดูเห็นว่าในที่ประชุมมีคุณจอน อึ๊งภากรณ์ นั่งอยู่ในฐานะคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ เลยคิดถึงความโก้ๆ นี้ขึ้นมา เพราะเห็นคุณจอนแกชอบเรื่องแบบนี้ (แต่แกจะเปลี่ยนไปหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ) และในความเป็นจริงพวกเราก็ปะทะคารมกันกับท่านมาแทบทุกครั้งในลักษณะคล้ายๆ กัน

ปัญหาของฟ้าวันใหม่ มี 2-3 ประเด็น

1. รายการถอนพิษ ในวันที่อาจารย์เจิมศักดิ์ กับคุณวิทเยนทร์ นำเรื่องคลิปการบุกทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยามาออกอากาศ หลังที่ศาลมีคำพิพากษา และเพิ่มเติมคลิปของคุณณัฐวุฒิกับคุณอริสมันตร์มานำเสนอ ประเด็นนี้กรรมการมองว่าเป็นการนำเรื่องมาทำความแตกแยก คุณวิทเยนทร์ชี้ว่าเป็นการนำความจริงมาเสนอ กรรมการท่านหนึ่งบอกว่าถึงเป็นความจริงก็เสนอไม่ได้ถ้าทำให้แตกแยก ซึ่งนี่จะเป็นประเด็นที่จะถูกนำไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมต่อไป หากเราโดน คณะอนุกรรมการชุดนี้เสนอปิด หรือพัก

2. รายการของคุณเทพไทกับคุณถนอม ไปพาดพิงรัฐบาลทักษิณ/ยิ่งลักษณ์

3. รายการข่าวฟ้ายามเย็น คุณต้น/หนิง/ปู ไปปกป้องการใช้มาตรา 44 ว่าเหมาะสมแล้ว และมีคำหยาบคายและเฮทสปีชหลายคำออกมา

เจ้าหน้าที่ถามผมว่า ยอมรับไหมว่าเป็นรายการช่องฟ้าวันใหม่ ผมก็ยอมรับว่าใช่ทั้งหมด วันนั้นถ้าไม่มีคำพูดด้วยอารมณ์ที่ว่า “พวกคุณทำบ้าอะไรกัน” หรือมีเกรี้ยวกราดที่ตามมาด้วยคำว่า “วะ”...ออกมาจากปากของประธานในที่ประชุม คงจะไม่มีอะไร “คาใจ” กันออกมาจากที่ประชุม นอกจากเรื่องของการพูดคุยด้วยเหตุและผล

แต่อย่างไรก็ตาม ฟ้าวันใหม่ก็ต้องตั้งรับกับชะตากรรมที่โดนกำหนดมาว่า “จ่อขึ้นเขียงตามรอยพีซทีวี”...เพราะเวลานี้พีซทีวีโดนปิดสถานีไปแล้ว

ฟ้าวันใหม่ ต้องเข้าสู่กระบวนการนี้และเสนอเหตุผลเพื่อให้ กสทช.พิจารณา
คุณสุภิญญา กลางณรงค์ กับ คุณนที ศุกลรัตน์ ได้ทวิตข้อความที่เป็นประโยชน์มากต่อเส้นทางการขอความเป็นธรรมของฟ้าวันใหม่...

ผมขอย้ำว่า ขอความที่คุณสุภิญญากับคุณนที ที่เสนอข้อเท็จจริงในการพิจารณาออกมานั้นเป็นประโยชน์มากกับฟ้าวันใหม่ และไม่แปลกที่จะเป็นประโยชน์ต่อการอุทธรณ์ของ พีชทีวี หรือช่องอื่นๆ

คุณพีระพงษ์ มานะกิจ ในฐานะประธานอนุกรรมการเนื้อหารายการ ก็ต้องพยายามเต็มที่ที่จะต้องพิสูจน์ความผิดของทีวีที่ละเมิดข้อตกลงและถูกเรียกพบ ส่วนกรรมการใหญ่ก็ต้องตัดสินด้วยความเป็นธรรมตามขั้นตอน ดังนั้น การทวีตขั้นตอนการพิจารณาของทั้งคุณสุภิญญากับคุณนที จึงเป็นเรื่องถูกต้องเพื่อบอกประชาชนว่า มีขั้นตอนพิจารณาอย่างไร

กว่าที่พีซทีวีจะโดนเพิกถอนใบอนุญาต ใช้เวลา 2-3 เดือน มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ตักเตือน - ตักเตือนด้วยอักษร - พักชั่วคราว 7 วัน และเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งพีซทีวีก็สามารถไปใช้สิทธิสู้ในศาลปกครองได้ หาก กสทช.ทำข้ามขั้นตอน

หากกระบวนการของ กสทช.ยุติธรรมแล้ว ชอบแล้ว พีซทีวีก็ต้องยุติ หากศาลท่านพบว่าพีซทีวีไม่ผิดหรือกระบวนการตัดสินข้ามขั้นตอน พีซทีวีก็ต้องได้รับความเป็นธรรม

ฟ้าวันใหม่ก็ต้องเข้ากระบวนการเดียวกัน ซึ่งตามความเข้าใจของเรา (ที่อาจไม่ตรงกับสิ่งที่คุณพีระพงษ์กับอนุกรรมการฯ จะทำ) คือ เราเพิ่งถูกเรียกไปครั้งแรกหลังจากเรื่องเก่าปิดคดีไปแล้ว (ผมเข้าใจว่าเรื่องที่โดนเรียกไปเมื่อปีที่แล้วจบลงเมื่อการปรับ 50,000 บาท ยกเลิกไป )

ดังนั้น เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 จึงน่าจะเป็นขั้นตอน เรียกมาพบเพื่อตักเตือนหรือทำความเข้าใจ ขั้นตอนต่อไปหากเราไม่กลับมาปรับปรุงเนื้อหารายการและยังละเมิดข้อตกลง เราจะต้องถูกเตือนด้วยลายลักษณ์อักษร และไปเรื่อยๆ จนเพิกถอนใบอนุญาต หากเรายังคงละเมิดต่อไป แต่ถ้าหลังจากการพบเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 แล้ว คณะอนุกรรมการชุดของคุณพีระพงษ์ เสนอพักใบอนุญาตหรือเสนอเพิกถอน...เราก็มีสิทธิท้วงติงได้ว่ามันข้ามขั้นตอน

ถึงวันนี้ พีซทีวีอาจกลับมาเปิดได้อีกหากศาลท่านพบว่าการพิจารณาของ กสทช. ข้ามขั้นตอนยุติธรรม

แต่ฟ้าวันใหม่อาจไม่รอด หาก กสทช.ทำตามขั้นตอนจนกระทั่งเอาผิดเราได้และสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เราจะถูกปิดอีกครั้งหนึ่ง ปิดตาย

มีเพียงพวกเราชาวฟ้าวันใหม่เท่านั้นที่จะรักษาพื้นที่นี้เอาไว้ด้วยการนำเสนอข่าวสารด้วยความสร้างสรรค์

แม้เรตติ้งของเราจะสูงขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีที่ยืน....ก็เปล่าประโยชน์”

พีซทีวีดิ้นต่อ ออกแถลงการณ์ย้ำ ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จให้รายการ “มองไกล”

อีกด้านหลังจากสถานีโทรทัศน์พีซทีวีของคนเสื้อแดง ถูกเพิกถอนใบอนุญาตและเมื่อเวลา 20.30 น.สถานีได้ยุติการออกอากาศ “จอดำ” นั้น วันนี้ (1 พ.ค.) แกนนำผู้บริหารสถานี ผู้ประกาศ รวมทั้งแนวร่วมคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้เดินทางมาให้กำลังใจและประชุมเพื่อกำหนดทิศทางของสถานี จากนั้นได้มีการออกแถลงการณ์สถานีโทรทัศน์พีซทีวี ระบุว่า

“บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องรายการพีซทีวี ถูกอำนาจกลั่นแกล้ง ยัดเยียดข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จนได้รับโทษเพิกถอนใบอนุญาตออกอากาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา 20.30 น.ของวันที่ 30 เมษายน 2558

โดยหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ส่งมาให้สถานีพีซทีวีนั้น ระบุความผิดว่า รายการมองไกลออกอากาศวันที่ 18 เทษายน 2558 ได้กระทำการฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับวันที่ 97/2557 และ ฉบับที่ 103/2557 จึงเป็นการขัดเงื่อนไขบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่าง กสทช.กับ บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557

ในหนังสือ กสทช.ระบุความผิดว่า รายการมองไกลได้นำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะเป็นการส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร อันเป็นเงื่อนไขสำคัญในบันทึกข้อตกลงข้อหนึ่ง และยังเป็นข้อห้ามให้งดเว้นการกระทำตามข้อ 3 (5) ของประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 ด้วย

กสทช.อ้างข้อความเข้าข่ายความผิดมา 2 ตัวอย่าง ว่า “นาทีที่ 15 อย่ามองคนเห็นต่างเป็นศัตรู บรรยากาศบ้านเมืองจะมีความน่ารักมากกว่านี้ ไม่ใช่พอพูดแบบนี้จะหาเรื่องปิดสถานีกันอีก” และอีกข้อความ คือ นาทีที่ 20 “ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวไว้ในรายการเกี่ยวกับเหตุการณ์การวางระเบิดที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และกรณีเพลิงไหม้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในลักษณะที่ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายบ้านเมือง และนักการเมืองท้องถิ่นเพื่อใส่ร้ายกลุ่มเสื้อแดง”

สถานีพีซทีวีได้ถอดเทปรายการมองไกลดังกล่าวอย่างละเอียด จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ตัวอย่างข้อความการระบุความผิด คลาดเคลื่อนจากความจริงชนิดขาวเป็นดำ เนื่องจากนาทีที่ 15 ที่กล่าวอ้างก็ไม่ได้เป็นข้อความที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะเป็นเนื้อหาเพื่อสร้างความปรองดองขึ้นภายในชาติ โดยเฉพาะนาทีที่ 20 ยังเป็นการตีความของ กสทช. พยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ให้เลวร้าย เพื่อจะได้เข้าเงื่อนไขความรุนแรงตามโทษขั้นสูงสุดถูกเพิกถอนใบอนุญาตออกอากาศ แต่เนื้อหารายการในนาทีที่ดังกล่าวไม่ปรากฏและเป็นไปตามการตีความของ กสทช.ประการใดทั้งสิ้น

การยกตัวอย่างข้อความของ กสทช.ซึ่งระบุตามนาทีดังกล่าวนั้น บ่งบอกถึงตัวอย่างการปั้นแต่ง เสริมสร้างขึ้นเพื่อ “ยัดเยียด” ข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จให้รายการมองไกลได้อย่างชัดเจนยิ่ง รวมทั้งยังได้บ่งบอกถึงพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่อันมิชอบด้วยกฎหมาย ไร้ความเป็นธรรม ขาดความน่าเชื่อถือ ศรัทธา ในฐานะเจ้าพนักงานที่ต้องมีความรอบคอบ เป็นธรรม เป็นกลาง

สถานีพีซทีวีขอกล่าวหาพฤติกรรมของ กสทช.ด้วยว่า การประชุมเพื่อพิจารณาความผิดของสถานีเมือ่วันที่ 27 เมษายน 2558 นั้น คณะกรรมการ กสท.ซึ่งทำหน้าที่แทน กสทช.ยังไม่เคยให้สถานีพีซทีวีเข้าชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงของเนื้อหารายการดังกล่าวนั้นแต่ประการใด ตรงกันข้าม กสท.และ กสทช.ยังมีพฤติกรรมลุแก่อำนาจด้วยการใส่ร้าย สร้างข้อความเท็จมาพิจารณา แล้วตีความยัดเยียดความผิดเพียงฝ่ายเดียว

ในบรรยากาศสังคมต้องการความปรองดอง ลดความขัดแย้ง เพื่อให้เกิดความสงบสุขสันตินั้น สถานีพีซทีวีได้ยึดมั่นมาตลอด เราพยายามเรียกร้องขอความเป็นธรรมตามกระบวนการที่เปิดโอกาสให้กระทำ ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ กสทช.และถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้มีอำนาจคุมรัฎฐาธิปัตย์ที่เหนือกว่าอำนาจบริหารใดๆ ในสังคม แต่สิ่งที่เราได้ดำเนินการไปกลับได้รับความอยุติธรรมกับสถานีพีซทีวี นอกจากนี้ ทั้ง กสทช.กับ กสท. ยังได้แสดงให้เห็นถึงการสมรู้ร่วมคิด จับมือกระทำการยัดเยียดข้อหาความผิดให้อย่างโจ่งแจ้ง ลุแก่อำนาจในการผูกขาดการตีความฝ่ายเดียวเป็นที่ตั้ง ไม่ยึดมั่นในหลักความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมกับสังคมทั้งสิ้น

บัดนี้ สถานีพีซทีวีขอประกาศว่า ต่อไปนี้เราจะดำเนินการทางกฎหมายทุกวิถีทาง โดยยังดำรงอยู่บนแนวทางการเรียกร้องความเป็นธรรมตามกระบวนการการยุติธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะเราเชื่อว่า หนทางการแสวงหาความเป็นธรรมนี้ เป็นแนวทางอันสงบสันติที่เสริมสร้างให้เกิดบรรยากาศปรองดองได้แกร่งกล้าขึ้นในสังคมไทย

สถานีพีซทีวีขอยืนยันและเชื่อมั่นในข้อมูลความจริงของรายการมองไกลว่า ไม่ได้กระทำผิดตามการกล่าวหาที่ กสทช.ยัดเยียดความผิดให้ รวมทั้งเรายังเชื่อมั่นในหนทางสันติ ปรองดองบนพื้นฐานสังคมเสรีตามการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นที่ตั้งมั่น เราจะเดินหน้าไม่รู้เหนื่อย จะพยายามจนสุดกำลังจนกว่าจะได้ความเป็นธรรม แม้หนทางต่อสู้นี้จะยาวนาน แต่เราจะยังมุ่งยึดมั่นไว้ เพื่อรอคอยบรรยากาศเสรีภาพให้แผ่ปกคลุมสังคมอย่างเท่าเทียม เสมอภาคบนพื้นฐานคนที่เท่ากัน

ด้วยจิตมั่นคงและศรัทธาพลังเสรีภาพ

สถานีโทรทัศน์ พีซทีวี
1 พฤษภาคม 2558”


*พีซทีวี ดิ้นต่อ ออกแถลงการณ์ย้ำ ถูกยัดเยียด ข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จให้รายการ “มองไกล”
กำลังโหลดความคิดเห็น