“ประยุทธ์” เผยเรียกก๊วนการเมืองถามที่ผ่านมารับปากไว้ว่าอย่างไร ยันไม่ได้ปรับทัศนคติ แนะสื่อช่วยเป็นพยานคดีเผาเมือง หวังสังคมเข้าใจมันเกิดอะไรขึ้น คนทำต้องรู้ตัว ชี้ปรองดองอยู่ที่หัวใจคนไทยทุกคน แนะหยุดพูดก่อน ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ย้ำ ม.44 เพื่ออำนวยความสะดวก ไล่พวกไม่ได้ดั่งใจไปขอรัฐบาลใหม่ เผยต่างชาติต้อนรับตน แต่ในชาติไม่รู้อะไรกันหนักหนา ถ้าจะลดเหลื่อมล้ำก็ต้องกระทบประชาชนบางกลุ่ม อ้างเสียงดังหูอื้อไม่ได้โมโห จวกสื่อชอบตั้งคำถามให้ไปรบกับใคร
วันนี้ (23 เม.ย.) ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) เมื่อเวลา 13.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) เชิญตัวแทนพรรคการเมือง นักวิชาการ และคอลัมนิสต์ เข้าหารือที่สโทสรทหารบก วิภาวดี ว่าเรียกมาเพื่อพูดคุย เพราะตนเคยบอกไปแล้วว่าการออกมาพูดกับสื่อ พูดกับสังคมหรือพูดข้างนอกมันไม่ได้ เพราะขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติมากนัก ดังนั้นการที่บางคนทั้งที่มีคดีความหรือเรื่องต่างๆ ที่สังคมยังสงสัยข้องใจก็ต้องเชิญมาพบกัน ความจริงก็เชิญมาพูดคุยกันแล้วหลายครั้ง ซึ่งก็รับปากกัน พูดจากันเรียบร้อย แต่พอกลับไปก็เอาใหม่อีก ตนจึงได้สั่งการว่าให้เชิญมาพูดคุยในวันเดียวกันนี้ ส่วนจะมากี่คนตนไม่ทราบ เพื่อจะถามดูว่าที่ผ่านมาเคยพูด และรับปากไว้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในปี 2552-2553 เรื่องชายชุดดำ เรื่องจำนำข้าว มีอะไรก็ขอให้ว่ามา ซึ่งยังไม่ได้รับรายงานว่าทำได้แค่ไหนอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพูดคุยกันในครั้งนี้ถือเป็นการเรียกมาทำความเข้าใจกันอีกรอบหรือการปรับทัศนคติ แต่มีบางฝ่ายมองว่าเลยช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วรัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมไม่ได้เรียกมาเพื่อปรับทัศนคติ แต่เป็นการเชิญมาทำความเข้าใจกัน สังคมเองก็ต้องเข้าใจลองฟังดู ที่ผ่านมารับได้กันหรือไม่ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2553 มีฝ่ายหนึ่งบอกว่ามีคนใช้กำลัง แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเจ้าหน้าที่ใช้กำลังก็ต้องมาถกแถลงว่าสรุปแล้วมันคืออย่างไร สื่อมวลชนเองที่อยู่ในเหตุการณ์มีการถ่ายภาพไว้จำนวนมาก ก็ควรจะออกมาเป็นพยาน”
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรกับบุคคลที่เรียกมาทำความเข้าใจบ่อยครั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สังคมก็ต้องว่ากันมา และสังคมก็ต้องทำความเข้าใจกันเอง อะไรก็จะให้ผมใช้แต่อำนาจจะต้องให้ผมทำให้ มันเป็นอะไรประเทศไทย ผมอยากจะรู้นัก ทำไมไม่รู้จัดคิดว่าจะมีหัวใจที่จะปรองดองทำเพื่อประเทศชาติกันบ้างทำไม่ได้เลยหรือ มันจะต้องขัดแย้งไปทุกเรื่อง กฎหมายก็มีอะไรก็มี จะขอแต่ให้มีกฎหมายที่แรงขึ้นๆ หรือลงโทษให้แรงขึ้น ถามว่าแล้วจะต้องให้มันแรงขึ้นอีกเท่าไหร่ ถ้าผมใช้มาตรการรุนแรงก็จะกล่าวหาผมอีกว่า ผมไปทำรุนแรงเกินไป มันไม่มีใครพอใจ ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องการคือให้สังคมเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเจ้าตัวต้องรู้ตัวเองว่าทำถูกหรือทำผิด และกฎหมายอยู่ที่ไหน หลายท่านบอกว่าการที่ผมเรียกมาเช่นนี้ก็จะใช้มาตรา 44 อีกเพื่อไปปรองดอง ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าการปรองดองอยู่ที่หัวใจของทุกคนที่เป็นคนไทย ถ้าอยากปรองดองก็ขอให้หยุดกันเสียก่อนทุกเรื่อง หยุดพูด หยุดแสดงความคิดเห็นนั่นแหละคือปรองดองแล้ว แต่ไม่ใช่การยกโทษทางกฎหมาย ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถึงจะเรียกว่าเริ่มเข้าสู่การปรองดองแล้วถึงมีการตัดสินออกมาว่าถูกหรือผิด และมีการต่อสู้กันมา”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอให้เข้าใจกันเสียทีว่ามาตรา 44 อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับมาตรา 17 เพราะบังคับใช้กันคนละแบบ เพียงแต่ขอร้องว่าอย่าทำอะไรที่เสียหายร้ายแรงกับประเทศก็แล้วกัน มาตรา 44 ที่ประกาศใช้มาก็เพื่ออำนวยความสะดวก อย่าลืมว่าตนเข้ามาทำงานเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เข้ามาสร้างปัญหาเลยแม้แต่อย่างเดียวที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ แต่ตนไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตัวเอง
“เพราะผมอาสาว่าผมจะเข้ามา จะเต็มใจให้ผมหรือไม่เต็มใจผมก็เข้ามาแล้ว ถ้าไปคิดว่าผมเข้ามาแล้วทำไม่ครบอย่างที่ต้องการ ไม่ได้ไปล็อบบี้ยิสต์ ไม่ออก พ.ร.ก.ดำเนินการกับผู้กระทำความผิดทั้งหมดก็ไปขอให้รัฐบาลใหม่เขาทำ แล้วดูสิว่ามันจะทำอย่างที่ผมทำไหม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากวิกฤตปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายเพื่อพิสูจน์การทำงานของนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เป็นการท้าทายตั้งแต่วันแรกที่ผมตัดสินใจเข้ามาแล้ว เข้าใจกันหรือเปล่าว่ามันเป็นความเสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 57 แล้วมันเสี่ยงหรือไม่ เสี่ยงว่าเข้ามาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อันตรายกับตัวผมเองหรือไม่ ทำสำเร็จไหม เข้ามาแล้วจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ สร้างความเข้าใจกับประชาชนคนในชาติได้หรือไม่ ทำความเข้าใจกับต่างประเทศได้หรือไม่ แต่วันนี้ผมไปต่างประเทศ ผมก็เห็นว่าเขายินดีต้อนรับผมทั้งหมด ส่วนในใจจะคิดอย่างไรก็ไม่รู้ แต่การพูดคุยหรือเสนออะไรไปเขาก็เห็นด้วยทุกอย่าง เขาเสนออะไรมาผมก็รับได้ แต่ของเราไม่รู้อะไรหนักหนา จะเอาอะไรกันหนักหนา”
เมื่อถามว่า ความหนักใจที่สุดในการทำงานวันนี้คืออะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า แก้ปัญหาไม่หมด แก้ไม่เสร็จ คิดว่าเมื่อเข้ามาทำงานแล้วมันจะเสร็จ คงไม่หนักหนาสาหัสอะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวเข้ามาแล้วใช้มาตรการที่เข้มแข็ง แต่พอเข้ามาแล้ว ซึ่งตนก็ไม่อยากจะบ่นเพราะบ่นมาแล้วหลายครั้งมันไม่ดี คนอื่นได้ยิน เขาก็ว่าประเทศไทยมันเน่า
เมื่อถามว่า ยังคิดว่ายังมีปัญหาอะไรที่ซ้อนอยู่และยังแก้ไม่ได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่มีหรอก แต่วันนี้ยังมีเรื่องของการเอาใจใส่ เป็นเรื่องการกำกับดูแลและการลงในรายละเอียด และทุกอย่างที่ตนแก้ในขณะนี้มีผลกระทบต่อประชาชนทั้งสิ้น ถ้าจะทำให้ประชาชนที่มีอยู่ 3-4 ระดับ สามารถลดความเหลื่อมล้ำ ความแตกต่างลงได้ ก็จะต้องทำอย่างที่ตนทำ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบ ใครมีรายได้สูงก็ต้องลดลงหน่อยหรืออยู่ตรงกลางก็ต้องลดลงมานิดหนึ่ง ถ้าจะเอาดีกว่านี้ก็ต้องไปหาระบอบอื่นเข้ามา ถ้าต้องการทุกอย่างหมดอะไรก็ได้ก็คงไม่มีใครในโลกนี้ทำได้
“ที่ผมเสียงดังอีกในวันนี้ผมไม่ได้โมโห แต่สงสัยเป็นเพราะหูอื้อ แต่ผมรู้ดีว่าทุกคนหวังดีต่อประเทศไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองดีๆ ไม่ใช่ว่านักการเมืองจะเลวทั้งหมด แต่ก็มีบางคนที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าใครเป็นอย่างไร เมื่อรู้ตัวคนเราก็ต้องปรับตัวเอง เมื่อประเทศชาติมีปัญหาแบบนี้ต้องดูว่าปัญหามันเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่มีใครรับผิดชอบหรือแก้ไขกันบ้างหรือไม่ แล้วมากล่าวหาผมวันนี้ให้ความธรรมกับผมหรือไม่ วันนี้ทุกคนทำงานกันทั้งหมดและผมก็บอกว่าให้ใจเย็นๆ จะไปต่อว่าใครไม่ได้เพราะ 500 เรื่อง แม้เราจะแก้ได้ 300 เรื่อง เขาก็ยังไม่พอใจยังต้องการให้เราทำงานให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างการจัดลำดับของเทียร์ แม้เขาจะลดเกรดประเทศไทย แต่ก็ยังให้กำลังใจเพราะเห็นในความตั้งใจของรัฐบาลนี้ที่มุ่งมั่นแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพียงแต่ขอเร่งรัดให้เป็นเวลาตามที่กำหนด เนื่องจากปัญหามีมายาวนานแล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า ถือว่ารัฐบาลนี้แจ็คพอตหรือไม่ที่เข้ามาแล้วเจอแต่ปัญหา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ ไม่ต้องมาพูด เดี๋ยวสื่อก็จะกล่าวหาว่าตนโยนเรื่องไปให้ใคร แล้วจะเอาคำพูดของตนไปรบกับคนอื่น สื่อก็ชอบตั้งคำถามแบบนี้