“มท.1” ระบุไม่ต้องกังวล มาตรา 44 “ไม่ได้ครอบจักรวาล” “ผบ.ทบ.” ย้ำ “บิ๊กตู่” แจงชัดเจน เชื่อ “เศรษฐกิจ - ภาพรวมประเทษศดีขึ้น” ชี้ไม่อยากให้เอาเรื่องเศรษฐกิจไปพัวพันกับเรื่องการเมือง ยัน “ไม่แรงกว่ากฎอัยการศึก” ระบุจำเป็นต้องใช้คุมสถานการณ์ เพราะมีกลุ่มใต้ดินเคลื่อนไหว
วันนี้ (1 เม.ย.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการใช้อำนาจมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า การใช้อำนาจไม่ได้เป็นในลักษณะครอบจักรวาล ซึ่งรายละเอียดในมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้นระบุไว้ นายกฯสามารถออกคำสั่งได้ และก็ยังไม่มีใครเคยเห็น เพราะฉะนั้นจะมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าครอบจักรวาลนั้นไม่ยุติธรรม
“นายกฯก็บอกแล้วว่าจะดูแลบ้านเมืองให้เรียบร้อย ถ้าเอาส่วนนี้เป็นตัวตั้ง ผมคิดว่า ถ้าทุกคนยอมรับที่ผ่านมาประเทศชาติเสียประโยชน์ในการพัฒนา หรือทำให้เกิดความขัดแย้ง สิ่งที่เราช้า ในเรื่องการพัฒนาประเทศไม่ว่าด้านไหนก็เป็นเรื่องหนึ่งแต่อีกสิ่งเสียหายในชาติที่ผ่านมาก็คือ ความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งเป็นแผลที่รักษาลำบาก และฝังลึกในชาติของเรา ผมคิดว่า อย่าหวนกลับไปเลย ให้มันอยู่ด้วยความสงบ ยอมรับความเห็นต่างแต่ให้อยู่ด้วยกันได้ ถ้ามันต้องมีกฏหมายมากน้อยเพียงใด ที่จะให้เกิดความสงบเรียบร้อย ก็คงต้องทำ ผมเข้าใจว่า ไม่มีใครออกไปมากมายหรอก ถ้าไม่มีอะไร แต่ถ้ามีก็ต้องเพิ่มยาให้มันแรงขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา” รมว.มหาดไทย กล่าว
ทั้งนี้ อยากให้สังคมยอมรับถ้าจะต้องมีการแลกด้วยความเข้มงวดทางกฎหมายบ้าง กับความสงบเรียบร้อย ตนอยากให้เป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยมากกว่า”
ส่วนสถานการณ์ขณะนี้เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การอาศัยอำนาจตามมาตรา44 ตนยังไม่เห็นในรายละอียด เพราะเป็นเรื่องของคสช.ที่จะออกกฎหมาย ไม่ใช่คณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่เท่าที่ฟังจากนายกฯ จะใช้ในลักษณะที่ควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ได้ ถ้าไม่มีสถานการณ์ ก็คงไม่มีการไปทำอะไร กฎหมายก็คือกฎหมาย ถ้าไม่ไปทำความผิด ก็ไม่มีการบังคับใช้ ขณะที่จะมีการหารือว่าใช้ในระยะสั้น หรือระยะยาวนั้น ก็เป็นไปตามโรดแมพ พอมีรัฐธรรมนูญถาวรแล้วก็ต้องจบ
พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวล ถึงมาตรฐานในการตรวจสอบว่า ไม่ต้องกังวล เอาเป็นว่าถ้ายังมีความรุนแรงกันอยู่ และมีการใช้อาวุธทำร้ายกัน ก็น่ากังวล แต่ถ้ามีกฎหมายไม่น่ากังวล สำหรับการประเมินความเสี่ยงในการถูกคว่ำบาตร จากนานาชาตินั้น ก็ไม่ต้องกังวลเช่นกัน
“เราจะเห็นว่ากฎอัยการศึก ต่างชาติค่อนข้างกังวล มันเป็นเหมือนค้อนใหญ่ อาจไม่ละเอียดอ่อน ค่อนข้างจะเป็นกฏหมายควบคุมใหญ่ในยามบ้านเมืองวิกฤต เมื่อทุกคนกังวลกัน เขาก็ยกเลิก ผมว่ามันก็ดีกับประเทศ แต่การที่จะไม่มีอะไรมารองรับเลย แล้วใช้กฎหมายปกติ เขาประเมินว่ามันจะกลับไปสู่ความวุ่นวายอีก” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ส่วนจะเป็นการเปิดช่องให้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้หรือไม่นั้น ตนไม่สามารถไปวิพากษ์ได้ขนาดนั้น เพราะยังไม่เห็นรายละเอียดในกฏหมายที่จะออกมาจากมาตรา 44 จะไปตอบเสรี หรือเข้มงวดก็คงไม่ได้ ยืนยันว่า ถ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ไม่มีใครไปจับกุมได้
ส่วน ถ้าหากมีการบังคับใช้แล้วมีปัญหาเกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านความมั่นคง ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงเรื่องการตรวจสอบ ทางฝ่ายกองทัพจะดำเนินการไปตามกระบวนการปกติหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “จะให้ผมไปวิจารณ์ โดยที่ยังไม่เห็นกฎหมาย คงไม่ได้หรอก มันจะทำได้หรือ” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวและว่า ใน ส่วนที่หลายฝ่ายออกมากังวลนั้น ก็ขอซักทีเถอะ ใครบ้างก็ยังไม่รู้ ก็มีไม่กี่ฝ่ายหรอก มติชน ข่าวสด ประชาชนคงไม่หรอก
ที่สโมสรทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่าเรามีหน้าที่ดูแลงานด้านความมั่นคงซึ่งได้รับมอบภารกิจมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) อยากให้ประชาชนได้เข้าใจว่า ถึงแม้ขณะนี้สถานการณ์จะดูเหมือนว่าเรียบร้อย แต่ยังมีการเคลื่อนไหวที่ส่งผลให้เกิดความไม่เรียบร้อยบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องการรักษาความปลอดภัยซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ไม่หวังดีพยายามสร้างความไม่สงบเกิดขึ้นนี่คือสาเหตุที่เราจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายพิเศษ เพราะหากเป็นกฎหมายปกติจะไม่ทันต่อเหตุการณ์ ถือเป็นเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อประโยชน์ต่อส่วนร่วม ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลว่า มาตรา 44 จะไปส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ใช้ชีวิตประจำวัน ตรงกันข้ามจะเป็นเครื่องมือที่ดูแลความปลอดภัยให้กับพลเมืองดี
ส่วนเรื่องการขึ้นศาลทหารและการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา 7 วันยังดำเนินการอยู่หรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ คำสั่งของ คสช. ก็คือ กฎหมายเป็นอย่างไรก็จะเป็นไปตามนั้น อย่างไรก็ตามการใช้กฎหมายดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอยู่แล้วว่าจะไม่มีการละเมิด
“ยืนยันว่า มาตรา 44 ที่มาแทนกฎอัยการศึกนั้นไม่ได้มีความรุนแรงอะไรมากกว่ากฎอัยการศึก แต่อย่างใด เพียงแต่การใช้กฎอัยการศึกมีคนไปมองว่าเป็นการละเมิดและเกิดความไม่สบายใจ และการเปลี่ยนมาใช้มาตรา 44 ก็จะทำให้การดำเนินการมีเหตุมีผลมากขึ้นอย่างเช่นบทลงโทษก็จะมีขอบเขตที่ชัดเจนและทุกคนสามารถยอมรับได้ ทั้งนี้อยากจะขอให้ไปศึกษากฏหมายที่กำลังจะออกมานี้ให้ครบถ้วนก่อน” พล.อ.อุดมเดช กล่าว
กรณีนี้จะสามารถทำให้เศรษฐกิจและความกดดันจากต่างชาติลดลงหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า จะดีขึ้นอย่างแน่นอน ทางรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้ใคร่ครวญดีแล้ว โดยมีการหารือกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องจึงมองว่าน่าจะทำให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจอย่างเช่นคนต่างชาติได้มีความเข้าใจเรามากขึ้น
ส่วนที่กลุ่มประเทศสหภพยุโรป (อียู) ออกมาระบุว่ากลุ่มประเทศอียูไม่มีกฎหมายมาตรา 44 เกรงจะกระทบข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) พล.อ.อุดมเดช กล่าว่า ไม่อยากให้เอาเรื่องเศรษฐกิจไปพัวพันกับเรื่องการเมือง จะมีหรือไม่อย่างไร เราต้องนำไปวิเคราะห์กัน ส่วนการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ ภาพเศรษฐกิจ ถูกบีบอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่อยากให้พัวพันธ์กัน แต่ถ้าดูองค์รวมจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็พยายามชี้แจงทำความเข้าใจมาโดยตลอด
“อยากให้เป็นกำลังใจและเป็นแรงสนับสนุน เพราะรัฐบาลพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด ซึ่งปัญหามีมาก บางอย่างต้องใช้เวลา บางอย่างจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมาใช้มาตรา 44 ก็จำเป็นต้องมีการปรับการปฎิบัติงาน คือร่วมกันปฎิบัติงานระหว่างทหารกับตำรวจ โดยการให้ข้อคิดเห็น ประสานกัน ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกต่างๆ ดีขึ้น เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและร่วมมือกับรัฐบาล”