xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” เป็นพยานคดีสลายม็อบ 53 เคลียร์ปม “ชุดดำ” ยิงทหาร!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เรียกว่ากำลังเดินมาถึงจุดสำคัญสำหรับคดีสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ในสมัยที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการแก้ไขสถานการฉุกเฉิน (ศอฉ.) และล่าสุดได้ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้งสองว่าส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีที่การสลายการชุมนุมดังกล่าวทำให้มีคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

แม้ว่าตามขั้นตอนและกว่าจะเดินไปถึงบทสรุปจะต้องใช้เวลาอีกนาน รวมไปถึงการตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวมองอีกมุมหนึ่งมันเหมือนกับการต้องการลบล้างครหาเรื่อง “สองมาตรฐาน” ให้ลดเงื่อนไขความร้อนลงไปก็ตาม

แต่ที่ต้องจับตามองก็คือ ข้อมูลจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ในขณะนั้นขณะเกิดเหตุเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก เป็นกรรมการใน ศอฉ.และมาวันนี้เมื่อ อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอใช้สิทธิอ้างอิงเป็นพยาน เจ้าตัวก็ยืนยันแล้วว่ายินดีไปเป็นพยานให้ หากมีการดำเนินการตามขัืนตอนและถึงตอนนั้นอาจเดินทางไปชี้แจงด้วยตัวเอง หรืออาจชี้แจงเป็นเอกสารก็ได้

แต่ที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลที่ออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตั้งคำถามว่า “ขอถามข้อเท็จจริงว่า มีคนใช้อาวุธในประชาชนหรือเปล่า มีหรือเปล่า ขอให้พูดดังๆ มีชายชุดดำอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเปล่า และมีคนยิงใส่ทหารหรือเปล่า ถ้ามีก็จบ”

“ทำไมไม่พูดว่าทำตั้งแต่ต้น ทำทั้งสองฝ่าย ทำไมบอกว่าล่าข้างเดียวกันอยู่ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการไล่ล่าข้างเดียว ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ามา ใครที่แก้ข้อกล่าวหาได้ก็จบไปเท่านั้นเอง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม” นั่นเป็นคำพูดต่อมาที่ยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องการให้เกิดความเป็นธรรม มีคดีก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมายตามขั้นตอน

และนี่อาจเป็นการยืนยันเจตนารมณ์อีกครั้งว่าทำไมถึงไม่มีการปรองดองกับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย และยืนยันว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกดำเนินคดีก็ต้องให้ศาลชี้ขาด และในฐานะเจ้สหน้าที่ของรัฐไม่สามารถไปพบหรือเจรจากับคนทำผิดกฎหมายได้ ความหมายก็คือ ทุกฝ่ายหากถูกฟ้องร้องก็ดำเนินคดีกันไปตามขั้นตอน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง พิจารณากันตามความเป็นจากภาพและความเคลื่อนไหวที่เห็นกันมาตลอดก็ต้องยืนยันว่ามี “กองกำลังติดอาวุธ” ปะปนแฝงตัวอยู่ในมวลชนคนเสื้อแดง ที่รู้จักกันในนาม “ชายชุดดำ” ซึ่งบางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อดำ อาจใส่เสื้อสีแดง หรือชุดลายพรางเพื่อตบตาให้กลมกลืนตามสถานการณ์ แต่ในความหมายก็คือเป็นกองกำลังติดอาวุธที่เป็นหนึ่งใน"แก้วสามประการ"ที่กำหนดเอาไว้ก็คือ มวลชน พรรคการเมืองและกองกำลังติดอาวุธ

ที่ผ่านมาหากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรม และตามความเป็นจริงจากภาพถ่ายวดิโอและคลิปต่างๆในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 53 ที่สี่แยกคอกวัว จะเห็นภาพชัดเจนว่ามีชายชุดดำติดอาวุธใช้อาวุธสงครามยิงใส่ทหารจนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และกรณีของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ก็เสียชิวิต จากการถูกอาวุธสงครามจากชายชุดดำยิงถล่ม นอกจากยิงใส่ทหารแล้วคนพวกนี้ยังยิงใส่มวลชนคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ส่วนจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจยังไม่อาจยืนยันได้ แต่หากเป็นความตั้งใจก็คงหวังให้เกิดความโกลาหลเคียดแค้นรัฐบาลต้องการให้เกิดจลาจล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองเวลานั้น

หากจำกันใด้ครั้งหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยยืนยันข้อมูลในเหตุการณ์เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามว่า ไม่ได้เป็นฝีมือของฝ่ายทหาร ยืนยันว่าทหารไม่ได้เข้าไปในบริเวณนั้น แต่ก่อนที่ทหารจะเข้าไปบริเวณนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งในเวลาต่อว่าเมื่อมีการตรวจค้นภายในวัดกลับพบอาวุธสงครามอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันพร้อมที่จะไปเป็นพยานในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ ปี 2553 ยังไปในฐานะผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ในฐานะเป็นกรรมการในกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉนในขณะนั้น อีกด้านหนึ่งยังต้องการเคลียร์ข้อมูลบางอย่างให้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีชายชุดดำที่แฝงอยู่ม็อบคนเสื้อแดง ซึ่งเขายืนยันว่า ถ้ามีก็จบ!!
กำลังโหลดความคิดเห็น