เสียงระเบิดที่ดังขึ้นในท่ามกลางอำนาจรัฐอยู่ในมือของรัฐบาลทหาร ถือกฎอัยการศึกอยู่ในมือเพื่อปกครองประเทศนั้น น่าจะตอบคำถามได้ไหมว่า กฎอัยการศึกไม่ใช่เครื่องมือที่จะทำให้พวกต้องการก่อความไม่สงบกลัว ดังนั้นในทางกลับกันการอ้างว่า ต้องคงกฎอัยการศึกเอาไว้เพื่อรักษาความสงบในประเทศก็ไม่น่าจะใช้ได้ด้วย
ส่วนจะมีกฎอัยการศึกไว้เพื่อให้คณะรัฐประหารอุ่นใจหรือเพื่อการใดก็ว่าไปหรือเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าบ้านเมืองไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ แต่โดยสรุปเท่ากับว่า กฎอัยการศึกใช้ไม่ได้กับพวกนอกกฎหมาย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่กล้าจะวางระเบิดก่อกวนกลางเมืองแบบนี้
การวางระเบิดเกิดขึ้นในขณะที่กลไกของระบอบทักษิณกำลังถูกเล่นงานด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ไปแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจนมาถึงอัยการสั่งฟ้องยิ่งลักษณ์และ สนช.มีมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง และล่าสุดคือ การที่อัยการสั่งฟ้องกุหลาบแก้วในเวลาที่เฉียดจะหมดอายุความ
แต่ความรุนแรงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นจากระเบิด 2 ลูกเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับ 10 ปีตั้งแต่มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของระบอบทักษิณ ดังนั้นไม่ยากเลยที่จะระบุว่าฝ่ายไหนที่ใช้ความรุนแรง
ในตอนที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณและรัฐบาลของทักษิณ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในยุคแรกและ กปปส.ในยุคต่อมา ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามกระทำความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม แต่ไม่ได้รับการปกป้องจากฝ่ายรัฐ กระทั่งต้องหาทางป้องกันตนเอง ต่างกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เกิดเหตุยิงระเบิดใส่ฝ่ายตรงข้าม หน่วยงานของรัฐ และยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
เราจึงพอจะพูดได้ว่า ฝ่ายไหนที่นิยมใช้ความรุนแรงและติดอาวุธ แม้จะเห็นได้ว่าทุกฝ่ายที่ชุมนุมต่างใช้อาวุธหรือทุกฝ่ายจะมีอาวุธเหมือนกัน แต่เราเห็นได้ชัดว่าฝ่ายไหนที่มีลักษณะจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาอย่างเป็นขบวนการเพื่อตอบโต้กับอำนาจรัฐและฝ่ายตรงกันข้าม
ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องที่คณะรัฐประหารจะอ้างสาเหตุการยึดอำนาจจากรัฐบาลของทักษิณว่า ประชาชนสองฝ่ายใช้ความรุนแรงและใช้กําลังและอาวุธสงครามเข้าทําร้ายประหัตประหารกัน บางคนอาจจะพูดว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีอาวุธ นั่นก็อาจจะจริง แต่เพราะอำนาจรัฐปล่อยให้ประชาชนที่ออกมาชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณถูกทำร้ายด้วยอาวุธสงครามจนผู้ชุมนุมบางฝ่ายที่ไม่สามารถพึ่งพาอำนาจรัฐได้ต้องหาอาวุธมาป้องกันตัวเอง ซึ่งเป็นสิทธิและสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์
ผมไม่พูดนะครับว่า กองกำลังติดอาวุธเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงทั้งหมดหรือคนเสื้อแดงทั้งหมดรับรู้เรื่องกองกำลังติดอาวุธ แต่พูดได้ว่ากองกำลังติดอาวุธถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่แกนนำเสื้อแดงมักพูดเสมอเรื่องแก้ว 3 ประการ
นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงปราศรัยหน้ากองบัญชาการกองทัพบกเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2553 “วันนี้การต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ชนะ เป้าหมายคือคุกหรือไม่ก็ตายเท่านั้น พี่น้อง ผมขอบอกข่าวดีว่า เดิมทีนั้น คนเสื้อแดงมีเพียงพรรคการเมืองและมวลชนเท่านั้น แต่วันนี้ แก้วอีกประการหนึ่งที่เรารอ นั่นคือ กองกำลังไม่ทราบฝ่าย เขาพร้อมสนับสนุน และปกป้องคนเสื้อแดง และพร้อมที่จะเป็นปรปักษ์กับกองทัพ”
แล้วไม่นานกองกำลังติดอาวุธก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นการเติมเต็มแก้ว 3 ประการของแกนนำเสื้อแดงที่มีครบทั้งพรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ
แต่เพื่อความเป็นธรรม ผมจึงไม่พูดว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธ แต่มีกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนคนเสื้อแดง ก็ไม่ต่างกับที่เราพูดว่า คนเสื้อแดงไม่ใช่พวกล้มเจ้าทั้งหมด แต่พวกล้มเจ้าทั้งหมดเป็นคนเสื้อแดง
แน่นอนว่า เป้าหมายของรัฐบาลทหารก็คือนำความสงบกลับมาสู่ประเทศ ไม่ต้องการให้ประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่เราต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งในประเทศไม่ใช่ลักษณะที่มีเป้าหมายจะแบ่งแยกประเทศกัน จะบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งที่อุดมการณ์ทางการเมืองก็อาจจะฟังดูเยอะเกินไป เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพียงแต่ขัดแย้งกันจากการปลุกปั่นเพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองจากอำนาจรัฐของกลุ่มผลประโยชน์ที่ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือมากกว่า
เราขัดแย้งกันเพราะประชาชนกลุ่มหนึ่งมองเห็นว่า พรรคการเมืองบางพรรคเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่ประชาชนบางฝ่ายเชื่อว่า พรรคการเมืองพรรคนั้นตอบสนองผลประโยชน์ให้กับประชาชน
โดยส่วนตัวผมไม่ได้หมายถึงว่า พรรคการเมืองตรงข้ามกับระบอบทักษิณจะเป็นพรรคที่สมบูรณ์เพียบพร้อม แต่ยอมรับว่า พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับพรรคของระบอบทักษิณเอง ก็มีข้อบกพร่องมากมายเช่นเดียวกัน
แต่การที่คนเสื้อแดงพยายามอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่ถูก รัฐบาลที่คนเสื้อแดงให้การสนับสนุนมาจากการชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากก็จริง แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ชนะการเลือกตั้งเข้ามา แต่ต้องปกครองประเทศด้วยหลักธรรมาภิบาล เป็นธรรมเท่าเทียมและเสมอภาคด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งนั่นไม่ใช่คุณสมบัติของรัฐบาลในระบอบทักษิณที่เล่นพรรคเล่นพวก ทำลายหลักธรรมาภิบาล ทำลายหลักคุณธรรม และเลือกตอบสนองประโยชน์แต่ฝ่ายที่เลือกตัวเองเข้ามา
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าเป้าหมายของการปรองดองที่รัฐบาลทหารต้องการก็คือ การทำความจริงให้ปรากฏ นั่นคือการพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลของระบอบทักษิณนั้นทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ กลุ่มที่นิยมใช้ความรุนแรงเกี่ยวข้องกับกลุ่มไหนแล้วใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศเข้าจัดการ นั่นก็คือ คนผิดจะต้องถูกลงโทษไม่ใช่การปรองดองในความหมายที่เลิกแล้วกันไป
แต่หากว่า การกระทำผิดนั้นเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง เกิดจากการไม่ยอมรับในรัฐบาลของพรรคการเมืองแต่ละพรรคแล้วออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่ ผมคิดว่านั่นเป็นสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าคนเสื้อเหลืองหรือแดงคนเหล่านั้นควรจะได้รับการนิรโทษกรรม ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาไม่เกี่ยวข้องการใช้ความรุนแรงหากแต่บางครั้งอาจจำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างสมเหตุสมผล ไม่เกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธ ไม่ใช่พวกล้มเจ้าซึ่งขัดกับอุดมการณ์ของรัฐ
ดังนั้น รัฐบาลและผู้กุมอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบันจะต้องเข้าใจว่า ความปรองดอง ความสามัคคีของคนในบ้านเมืองนั้นไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้เพราะใช้กฎอัยการศึกหรืออำนาจคณะรัฐประหารกดเอาไว้ แต่ต้องทำความจริงและความยุติธรรมให้ปรากฏ
เช่นเดียวกันหลังเสียงระเบิดดังขึ้นคงบ่งบอกได้ว่าความรุนแรงไม่ได้หายไปเพราะใช้กฎอัยการศึกหรืออำนาจคณะรัฐประหารกดเอาไว้
ส่วนจะมีกฎอัยการศึกไว้เพื่อให้คณะรัฐประหารอุ่นใจหรือเพื่อการใดก็ว่าไปหรือเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าบ้านเมืองไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ แต่โดยสรุปเท่ากับว่า กฎอัยการศึกใช้ไม่ได้กับพวกนอกกฎหมาย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่กล้าจะวางระเบิดก่อกวนกลางเมืองแบบนี้
การวางระเบิดเกิดขึ้นในขณะที่กลไกของระบอบทักษิณกำลังถูกเล่นงานด้วยกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ไปแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจนมาถึงอัยการสั่งฟ้องยิ่งลักษณ์และ สนช.มีมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง และล่าสุดคือ การที่อัยการสั่งฟ้องกุหลาบแก้วในเวลาที่เฉียดจะหมดอายุความ
แต่ความรุนแรงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นจากระเบิด 2 ลูกเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับ 10 ปีตั้งแต่มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของระบอบทักษิณ ดังนั้นไม่ยากเลยที่จะระบุว่าฝ่ายไหนที่ใช้ความรุนแรง
ในตอนที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณและรัฐบาลของทักษิณ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในยุคแรกและ กปปส.ในยุคต่อมา ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามกระทำความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม แต่ไม่ได้รับการปกป้องจากฝ่ายรัฐ กระทั่งต้องหาทางป้องกันตนเอง ต่างกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เกิดเหตุยิงระเบิดใส่ฝ่ายตรงข้าม หน่วยงานของรัฐ และยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
เราจึงพอจะพูดได้ว่า ฝ่ายไหนที่นิยมใช้ความรุนแรงและติดอาวุธ แม้จะเห็นได้ว่าทุกฝ่ายที่ชุมนุมต่างใช้อาวุธหรือทุกฝ่ายจะมีอาวุธเหมือนกัน แต่เราเห็นได้ชัดว่าฝ่ายไหนที่มีลักษณะจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาอย่างเป็นขบวนการเพื่อตอบโต้กับอำนาจรัฐและฝ่ายตรงกันข้าม
ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องที่คณะรัฐประหารจะอ้างสาเหตุการยึดอำนาจจากรัฐบาลของทักษิณว่า ประชาชนสองฝ่ายใช้ความรุนแรงและใช้กําลังและอาวุธสงครามเข้าทําร้ายประหัตประหารกัน บางคนอาจจะพูดว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีอาวุธ นั่นก็อาจจะจริง แต่เพราะอำนาจรัฐปล่อยให้ประชาชนที่ออกมาชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณถูกทำร้ายด้วยอาวุธสงครามจนผู้ชุมนุมบางฝ่ายที่ไม่สามารถพึ่งพาอำนาจรัฐได้ต้องหาอาวุธมาป้องกันตัวเอง ซึ่งเป็นสิทธิและสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์
ผมไม่พูดนะครับว่า กองกำลังติดอาวุธเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงทั้งหมดหรือคนเสื้อแดงทั้งหมดรับรู้เรื่องกองกำลังติดอาวุธ แต่พูดได้ว่ากองกำลังติดอาวุธถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่แกนนำเสื้อแดงมักพูดเสมอเรื่องแก้ว 3 ประการ
นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงปราศรัยหน้ากองบัญชาการกองทัพบกเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2553 “วันนี้การต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ชนะ เป้าหมายคือคุกหรือไม่ก็ตายเท่านั้น พี่น้อง ผมขอบอกข่าวดีว่า เดิมทีนั้น คนเสื้อแดงมีเพียงพรรคการเมืองและมวลชนเท่านั้น แต่วันนี้ แก้วอีกประการหนึ่งที่เรารอ นั่นคือ กองกำลังไม่ทราบฝ่าย เขาพร้อมสนับสนุน และปกป้องคนเสื้อแดง และพร้อมที่จะเป็นปรปักษ์กับกองทัพ”
แล้วไม่นานกองกำลังติดอาวุธก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นการเติมเต็มแก้ว 3 ประการของแกนนำเสื้อแดงที่มีครบทั้งพรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ
แต่เพื่อความเป็นธรรม ผมจึงไม่พูดว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธ แต่มีกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนคนเสื้อแดง ก็ไม่ต่างกับที่เราพูดว่า คนเสื้อแดงไม่ใช่พวกล้มเจ้าทั้งหมด แต่พวกล้มเจ้าทั้งหมดเป็นคนเสื้อแดง
แน่นอนว่า เป้าหมายของรัฐบาลทหารก็คือนำความสงบกลับมาสู่ประเทศ ไม่ต้องการให้ประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่เราต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งในประเทศไม่ใช่ลักษณะที่มีเป้าหมายจะแบ่งแยกประเทศกัน จะบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งที่อุดมการณ์ทางการเมืองก็อาจจะฟังดูเยอะเกินไป เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพียงแต่ขัดแย้งกันจากการปลุกปั่นเพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองจากอำนาจรัฐของกลุ่มผลประโยชน์ที่ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือมากกว่า
เราขัดแย้งกันเพราะประชาชนกลุ่มหนึ่งมองเห็นว่า พรรคการเมืองบางพรรคเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่ประชาชนบางฝ่ายเชื่อว่า พรรคการเมืองพรรคนั้นตอบสนองผลประโยชน์ให้กับประชาชน
โดยส่วนตัวผมไม่ได้หมายถึงว่า พรรคการเมืองตรงข้ามกับระบอบทักษิณจะเป็นพรรคที่สมบูรณ์เพียบพร้อม แต่ยอมรับว่า พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับพรรคของระบอบทักษิณเอง ก็มีข้อบกพร่องมากมายเช่นเดียวกัน
แต่การที่คนเสื้อแดงพยายามอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่ถูก รัฐบาลที่คนเสื้อแดงให้การสนับสนุนมาจากการชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากก็จริง แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ชนะการเลือกตั้งเข้ามา แต่ต้องปกครองประเทศด้วยหลักธรรมาภิบาล เป็นธรรมเท่าเทียมและเสมอภาคด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งนั่นไม่ใช่คุณสมบัติของรัฐบาลในระบอบทักษิณที่เล่นพรรคเล่นพวก ทำลายหลักธรรมาภิบาล ทำลายหลักคุณธรรม และเลือกตอบสนองประโยชน์แต่ฝ่ายที่เลือกตัวเองเข้ามา
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าเป้าหมายของการปรองดองที่รัฐบาลทหารต้องการก็คือ การทำความจริงให้ปรากฏ นั่นคือการพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลของระบอบทักษิณนั้นทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ กลุ่มที่นิยมใช้ความรุนแรงเกี่ยวข้องกับกลุ่มไหนแล้วใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศเข้าจัดการ นั่นก็คือ คนผิดจะต้องถูกลงโทษไม่ใช่การปรองดองในความหมายที่เลิกแล้วกันไป
แต่หากว่า การกระทำผิดนั้นเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง เกิดจากการไม่ยอมรับในรัฐบาลของพรรคการเมืองแต่ละพรรคแล้วออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่ ผมคิดว่านั่นเป็นสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าคนเสื้อเหลืองหรือแดงคนเหล่านั้นควรจะได้รับการนิรโทษกรรม ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาไม่เกี่ยวข้องการใช้ความรุนแรงหากแต่บางครั้งอาจจำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างสมเหตุสมผล ไม่เกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธ ไม่ใช่พวกล้มเจ้าซึ่งขัดกับอุดมการณ์ของรัฐ
ดังนั้น รัฐบาลและผู้กุมอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบันจะต้องเข้าใจว่า ความปรองดอง ความสามัคคีของคนในบ้านเมืองนั้นไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้เพราะใช้กฎอัยการศึกหรืออำนาจคณะรัฐประหารกดเอาไว้ แต่ต้องทำความจริงและความยุติธรรมให้ปรากฏ
เช่นเดียวกันหลังเสียงระเบิดดังขึ้นคงบ่งบอกได้ว่าความรุนแรงไม่ได้หายไปเพราะใช้กฎอัยการศึกหรืออำนาจคณะรัฐประหารกดเอาไว้