"ประยุทธ์" ระบุปัจจัยภายนอกส่งผลปัญหาศก.ไทยปี 58 ลั่นต้องสร้างความเข้มแข็ง ปรับงบลงทุนนำเงินอุ้มคนจน ลั่น มาตรการคิวอี ไม่กระทบไทยระยะสั้น ยัน ไม่ถึงขั้นแทรกแซงเงินบาท เชื่อธปท.เอาอยู่ ก่อนบ่นเหม็นท่อระบายน้ำทำเนียบ สั่ง เลขาฯจัดการ สื่อปูดเหม็นมานานไม่หาย พบถอดกำไลหินออก วันนี้ไม่อารมณ์เสีย มีคุยเล่นสื่อ
วันนี้ (27ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2558 ว่า ตนสั่งมาตลอดเพราะรู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาบ้างในภาวะเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจระดับโลก ปัจจัยภายนอกต่างๆ รวมถึงความเข้มแข็งของเราค่อนข้างน้อย ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่ของไทยเป็นธุรกิจขนาดย่อย (เอสเอ็มอี) ไม่มีความเข้มแข็งพอจึงยังสู้เขาไม่ได้ ตลาดก็เป็นตลาดเดิม ซึ่งวันนี้รัฐบาลทุกประเทศก็ได้พัฒนาตลาดของตนเอง และไทยก็ได้เริ่มทำบ้างแล้วทั้งในเรื่องการส่งออกข้าวและอื่นๆ ที่ต้องส่งออกไปตามสัญญาเดิมที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำไว้ ส่วนสัญญาใหม่อยู่ในขั้นตอนการประมูลเพราะฉะนั้นข้าวที่ส่งออกขณะนี้ล้วนเป็นข้าวใหม่ทั้งสิ้นเนื่องจากต่างชาตินิยมข้าวใหม่ และข้าวเก่าของไทยก็ราคาตกลงเรื่อยๆ จึงถูกมองว่านโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้วสร้างความเสียหาย
"ถ้าท่านตัดสินกันเองว่าไม่เสียหายก็ไม่เสียหาย ถ้าท่านว่าอย่างนั้นก็คงเป็นแบบนั้น แต่ถามว่าข้าวที่ค้างอยู่ในคลังตอนนี้จะทำอย่างไร เพราะถ้าขายราคาก็ตกเราก็ขาดทุน แต่อาจไม่ขาดทุนมากเพราะยังมีข้าวอยู่ ซึ่งการขายข้าวก็ต้องดูว่าราคาปัจจุบันอยู่ที่เท่าไร หากรัฐบาลพยายามขายข้าวทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าขาดทุน สุดท้ายรัฐบาลก็ถูกมองว่าขายข้าวขาดทุนเยอะ ผมก็เสียหายอีกใช่หรือไม่ แต่หากไม่ขายข้าวเราก็ต้องเสียค่าดูแลคลังเดือนละ 2,600 ล้านบาทรวมถึงค่ารถเมล์ รถไฟอีก 2,000 ล้านบาท รวมเป็น 4,600 ล้านบาท" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้เราพยายามจัดระเบียบคนจนในหลายๆ อาชีพ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเสียเงินไปกับการเกษตรจำนวนมากเพราะมีการเพาะปลูกมาก โดยงบประมาณของรัฐบาลมาจากการเก็บภาษี ซึ่งหากมีการลดการเก็บภาษีทั้งหมดก็จะไม่มีเงินเข้าคลัง เนื่องจากตอนนี้เราต้องใช้เงินบริหารงานมากกว่าปกติ รวมถึงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ส่วนหนึ่งไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมดเพราะต้องนำเงินมาใช้ในโครงการของรัฐบาลประมาณ 2,000 ล้านบาทแล้วส่วนที่เหลือก็ใช้ชำระหนี้สาธารณะเพราะฉะนั้นเงินจะเหลือช่วยประชาชนไม่ถึงครึ่งของ 7,500 ล้านบาท เราจึงนำเงินมาช่วยเรื่องข้าวและคนจนได้ไม่เต็มที่ และจะต้องเบียดเบียนงบของข้าราชการแต่ละกระทรวงที่มีแผนงานอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องทำให้เหลืองบลงทุนมากที่สุดเพื่อสร้างความเข้มแข็ง แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นวันเดียวไม่ได้เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยสร้างความเข้มแข็งอะไรเลย วันนี้ต้องเอากองทุนทั้งหมดมาปรับเพื่อพัฒนาให้ช่วยเหลือคนจนในทุกๆ ด้าน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อถึงกรณีที่ธนาคารกลางยุโรปออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) เดือนละ 60,000 ล้านยูโร ว่า ตนเองได้เรียกธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง มาหารือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามาสอบถามว่า จะมีผลกระทบทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นหรือไม่ ซึ่งได้รับคำยืนยันจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ยังไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเข้มแข็งอยู่ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องแทรกแซงค่าเงินบาท ซึ่งเงินที่เข้าเป็นเงินกองทุนระยะสั้น ยังไม่มีผลกระทบ แต่ในระยะยาวอาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่ได้มีการเตรียมมาตรการรอบรับไว้แล้ว และไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีในขณะนี้ และมั่นใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถดูแลได้
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงจากตึกบัญชาการ เพื่อมายังโพเดียมแถลงข่าว ซึ่งระหว่างนั้น นายกรัฐมนตรีได้กลิ่นเหม็นจากท่อระบาย จากนั้นจึงได้พูดขึ้นมาทันทีว่า “มันเหม็นกลิ่นอะไร” พร้อมกับสั่งให้พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปหาวีการแก้ไข โดยการนำสารอีเอ็มหรือสารจุลลินทรีย์มาดับกลิ่นเหม็นที่ส่งกลิ่นโชยคละคลุ้ง
ทั้งนี้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กลิ่นเหม็นที่โชยมาจากท่อระบายน้ำบริเวณรอบตึกบัญชากา ร1 ได้ส่งกลิ่นเหม็นมานานหลายรัฐบาลแล้ว แม้จะมีการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล และล้างระบบท่อมาหลายครั้งก็ไม่สามารถไขปัญหาได้
ทั้งนี้ในช่วงท้ายการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เพลงประจำรายการคืนความสุขให้คนในชาติจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นายกฯย้อนถามกลับว่า “ทำไมล่ะ มันเป็นอย่างไง” ผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า “เดี่ยวประชาชนเบื่อครับท่าน” นายกฯยืนทำท่านึกอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า “โห น่าสงสาร จะเอาเพลงอะไรล่ะ” ผู้สื่อข่าวกล่าวว่า ท่านจะเสนอเพลงใหม่ๆที่มันเร้าใจมาก็ได้ครับ นายกฯตอบว่า “อืม เดี๋ยวจะรับไว้พิจารณา แหม มันเดาใจยากเหลือเกิน ขี้เบื่อนะไอ้นี่ มีเมียหรือยัง แต่งงานหรือยัง” ผู้สื่อข่าวตอบกลับว่า ยังครับ นายกฯแซวว่า “ไอ้นี่อย่าไปแต่งกับมันนะ มันเบื่อง่าย” ทำเอาผู้สื่อข่าวหัวเราะไปตามกัน ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเปิดประเด็นถึงกำไลหินสีที่สวมใส่ในข้อมือว่าลูกสาวเป็นคนซื้อใส่ เพื่อจะได้อารมณ์เย็นเหมือนกับหิน แต่หลังจากใส่นายกฯกลับอารมณ์เสียมากขึ้น และบอกกับสื่อมวลชนว่าจะถอดแล้ว ซึ่งวันนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ข้อมือนายกฯไม่ได้สวมใส่กำไลหินสีแล้ว และตลอดการให้สัมภาษณ์ในวันนี้ไม่เป็นที่ปรากฏว่านายกฯจะอารมณ์เสียแต่อย่างใด ทั้งๆที่ผู้สื่อได้ตั้งคำถามประเด็นทางการเมืองหลายคำถาม