มิใช่พูดไม่ชัดมาแต่ชาติกำเนิด แต่มันคือเครื่องหมายการค้าที่ทำให้ใครต่อใครจดจำเขาได้ในนาม “แอนนา ชวนชื่น”...สัมผัสเรื่องราวอันชวนชื่นจิตและเติมพลังชีวิตด้วยอารมณ์ขันของดาราตลกแถวหน้าของฟ้าเมืองไทย จากอดีตคนโป๊วสีรถ ขับสองแถว ก่อนก้าวสู่เส้นทางขายเสียงหัวเราะ บ่มเพาะประสบการณ์กว่า 30 ปี ล้มลุกคลุกคลาน กระทั่งถึงวันนี้ที่แสงทองส่องทอ “ถั่วต้ม”, “สวดยอดเลยครับลวกเพี่ย” หรือกระทั่งประโยคยาวๆ อย่าง “มีน้ำแดงจะกินน้ำส้วม มีน้ำส้วมจะกินน้ำแดง มีไอ้โน่นจะกินไอ้นี่ มีเป๊ปซี่จะกินโคล่า มีแฟนต้าจะกินสไปรท์” เชื่อว่าใครต่อใครคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะนี่คือถ้อยคำเอกลักษณ์ของสวดยอดดาวตลกสำเนียงไหหลำที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย ในการแสดง เขาคือ “แอนนา ชวนชื่น” แต่ในชีวิตจริงตามบัตรประชาชาชน เขาคือ “เอนก อินทะจันทร์” ชายผู้มาพร้อมฉายา “ชวนชื่น” แต่ชีวิตบางช่วงกลับชวนขื่น แต่ทว่าก็มีพลัง! |
จากช่างโป๊วสี
สู่ตลกดาวรุ่ง
“ไม่คิดเลยว่าจะมาเป็นตลกอย่างเช่นทุกวันนี้ เพราะลึกๆ แล้ว ผมใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องด้วยซ้ำ คือเสียงก็ไม่ได้ดีอะไรนะ แต่ชอบร้องเพลง (หัวเราะ) เพราะคิดว่าเป็นนักร้องแล้วมันเท่ สมัยนั้นมันได้ใส่สูท ได้ขึ้นหน้าเวที ร้องเพลงแล้วมีหางเครื่อง พอเล่นจบมีคนตบมือด้วย”
อาแอนนา หรือลุงแอนนา แล้วแต่ใครจะเรียกขานในวันนี้ กล่าวย้อนถึงเส้นทางชีวิตกว่า 30 ปีที่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นหนึ่งในซูเปอร์สตาร์แห่งเสียงหัวเราะ
“แล้วเวลามีวงลูกทุ่งไปเล่นแถวๆ บ้าน เราก็จะคอยไปถามไปบอกว่า ผมอยากเป็นนักร้อง แล้วก็มีไอ้พวกที่ตลก ไม่คิดเอาเราจริง บอกว่า เฮ้ย...มึงอยากเป็นจริงหรือเปล่า เราก็ครับๆ เขาก็ให้เราลองร้องให้ฟัง เราก็ร้องๆๆ มันก็ตบมือให้ เออ เสียงดี แต่เมื่อวานที่มาสมัครเสียงดีกว่ามึง เขายังไม่เอาเลย (หัวเราะ) พูดให้เจ็บใจเล่น”
นั่นคือความฝันในตอนนั้น ส่วนชีวิตก่อนหน้านั้นก็อยู่หลายจังหวัด เพราะมีคุณพ่อรับราชการ ก็เลยร่อนเร่ไปมา กว่าจะลงหลักปักฐานที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว คุณแม่เปิดร้านโชว์ห่วย ขายของชำ และขายทั้งก๋วยเตี๋ยว กาแฟ
“เด็กๆ เราก็ไม่รักเรียน เกเร ป.4 ยังเรียนไม่จบเลย เพราะไม่ชอบเรียน ออกจากโรงเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย นาฬิกาก็ดูไม่เป็น มารู้เรื่องเขียนได้ตอนช่วงที่มีความรัก มันต้องเขียนจดหมาย จึงจำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้ แต่เด็กๆ ติดเที่ยว เก ก็ไปเป็นเด็กปั๊ม เงินเดือน 300 บาท ทำได้สักพัก บังเอิญเพื่อนไปทำงานแล้วกลับมาใส่ทองหยองเต็มตัว เราเห็นแล้วรู้สึกว่าหล่อเลย หล่อมาก เราก็ถามว่าไปทำอะไรมา มันก็บอกว่าไปเป็นช่าง ได้เงินเดือนตั้งพันกว่า ตอนนั้นทองบาทหนึ่งแค่ 400 กว่าบาทเอง ก๋วยเตี๋ยวชามละบาท เราก็อยากเป็นบ้าง คือเราอยากมีวิชา มีเงิน พ่อแม่จะได้สบาย เพราะเริ่มคิดได้แล้วว่าเราทำไม่ดีกับท่านมาเยอะ
“ก็เลยมีความใฝ่ฝันว่าต้องเป็นช่างแบบนั้นให้ได้ ก็ไปสมัคร แต่ที่ไหนๆ เขาก็ไม่รับ เพราะเราไม่มีวิชา ก็ขอเรียนกับเขา ไม่มีเงินเดือนก็เอา จนได้มาฝึกที่คลองเตย ชีวิตลำบากมาก ตอนเช้าไม่มีข้าวให้กิน กินแค่มื้อเที่ยงกับมื้อเย็น รอดมาได้เพราะกินไวตามิลค์ขวดหนึ่งกับขนมปังอันหนึ่ง 2 บาท”
เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวตั้งแต่อายุ 14-15 ปี และเพียงระยะเวลา 3-4 ปี เงินเดือนจากหลักพันก็กลายเป็นหลักหมื่น
“ทำไปเรื่อยๆ มีประสบการณ์แถมได้เงินเดือน ย้ายอู่ทีก็เงินเดือนขึ้นที จนต้องมาทำรูปแบบเหมา รับงานหมื่นสองหมื่นมา เฉลี่ยแล้วได้วันละพันสองพันกว่าต่อวัน เทพเลยแหละตอนนั้น (หัวเราะ) ก็ดึงพ่อแม่มาอยู่ด้วยและก็มีญาติเป็นญาติของแม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่จังหวัดสมุทรปราการ ปลูกบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง แม่ชอบขายของก็เปิดร้านขายของ เพราะตอนเด็กๆ ทำบาปกับพ่อกับแม่ไว้เยอะ สำนึกได้ก็อยากไถ่บาป มีเท่าไหร่ ให้พ่อให้แม่หมด
“แต่ทำไปทำมาหลังจากนั้นดันไปแพ้ทินเนอร์ หนักเข้าก็ทำไม่ไหว ก็เลยออกมาขับสองแถว มีรถปิ๊กอัพของตัวเองคันหนึ่ง ขับสองแถวได้ประมาณ 1-2 ปี ระหว่างที่รถเข้าวินอยู่ ผมก็จะมีมุกตลกอะไรพูดเล่นๆ แล้วเพื่อนมันก็จะมานั่งท้ายรถเราระหว่างนั้น ท้ายรถเราจะเต็มไปด้วยโชวเฟอร์ด้วยกัน เรานั่งคุยอะไร มันก็ขำไปหมด ไม่ว่าจะพูดเล่นหรือว่าอะไร เป็นมุข มันฟัง มันก็ขำๆ และบอกเราว่า ฉันว่าแกไม่น่ามาขับรถสองแถว แกน่าจะไปเล่นตลก เราก็ว่า เล่นได้เหรอ เขาก็บอกว่าได้ เราพูดอะไรพวกขำหมด ไม่ได้อำ ขำจริงๆ ทุกคนก็ยุ แต่ก็แค่นั้นนะ ไม่ได้คิดว่าจะทำจริงๆ
“จนวันหนึ่ง เรามีโอกาสไปร่วมงานบวชของหลานชายของเพื่อนที่เป็นช่าง ทีนี้เพื่อนคนนี้นอกจากเป็นช่าง ก็ยังรักชอบในด้านดนตรี ก็เลยตั้งวงดนตรีวงลูกทุ่งคณะพรเพชรปราการ ในจังหวัดสมุทรปราการ ปากน้ำตอนนั้น ช่วงอายุประมาณ 18-19 ตลกประจำคณะเขาก็มี 4 คน ซึ่งตามหลักเราเป็นคนชอบดูตลกมาก ก็อยากขำ ยืนดูอยู่ แต่มุกเขาวันนั้นฝืดมากไม่ขำ เราก็ลุ้นๆ เอาใจช่วย ขอให้ฮาสัก 1 ตรึม 2 ตรึม ก็ไม่ได้เลย เสร็จแล้วเพื่อนมันก็บอกเรา ไอ้เหนกๆ (ย่อจากชื่อจริง “เอนก” ) ฉันว่าแกเล่นคนเดียวขำกว่าไอ้พวกนั้น 4 คน รวมกัน
“เราก็ มะเหงกแน่ะ...”
ตลกซูเปอร์สตาร์เผยความรู้สึกวินาทีนั้น แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะเสียงโฆษกประกาศชื่อก้อง
“เรียนเชิญ...คุณเอนกขึ้นมาเล่นตลกให้แขกรับชม”
“ก็ 4 คน ยังไม่ฮาเลย แล้วเราคนเดียวหรือจะได้ (หัวเราะ) เราก็บอก ไม่เอาๆ พอเขาประกาศ เราก็ตกใจเลย มีเสียงเล็ดออกไมค์ด้วย มึงบ้าหรือเปล่า ไม่เอาๆ
“แต่พวกก็ตบมือกดดัน เราก็ต้องขึ้นไป เดินขึ้นไปทั้งขาสั่น มือสั่น จับไมค์สั่นเลย โธ่...เอ๋ย ขึ้นไปยังไม่รู้ว่าจะเล่นอะไร ครั้งแรกในชีวิต เราไม่เคยคิดว่าเราจะเล่นตลกได้ ถ้าเล่นให้เพื่อนสนิทฟัง เราก็ไม่อายไม่เขินอยู่แล้ว แต่นี่เราขึ้นไปเล่นกับใครก็ไม่รู้จัก แล้วอีกอย่าง มุกที่เราเล่นส่วนใหญ่ก็จะเล่านิทานออกแนวลามก มันออกอากาศไม่ได้ สองแง่สองง่ามลามกทั้งนั้น แล้วจะทำอย่างไร
“ตอนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเราเลียนเสียง ประจวบ จำปาทอง (เจ้าของรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังในอดีตและเจ้าของครีมยี่ห้อกวนอิม) ทำได้ใกล้เคียงเกือบเหมือน แล้วก็โฆษณาโน่น โฆษณานี่ของประจวบ มีร้องเพลงแปลงเขา คนก็ชอบ ตบมือกราว ตะโกนเอาอีกๆ แล้วก็มียายแก่ๆ คนหนึ่ง ห่อเหรียญสลึง เหรียญ 50 สตางค์ เกือบ 20 บาท จำได้ติดตาเลย ห่อด้วยผ้าที่แกเช็ดหมากสีแดงแล้วเอามาให้เรา บอกว่า ยายชอบๆ เอาอีกๆ ทีนี้พอคนฮา ความสั่นประหม่ามันก็บรรเทาลง จนกลายเป็นไม่สั่น หัวมันก็แล่น ก็เล่นไป อำโน่นอำนี่ไป”
เป็นอีกหนึ่งคืนที่ไม่มีวันลืม เพราะนอกจากคนดูจะปรบมือกันเซ็งแซ่ หลังลงจากเวที นายทุนผู้ก่อตั้งคณะซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อของเพื่อนก็เข้ามาติดต่อทาบทาม อันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางตลก
“พอลงมา เขาก็เข้ามาติดต่อว่า ชวนมาเล่นตลกกับคณะ ตอนนั้นเราก็ยังมองหน้า ยังถามเขาซ้ำอีกว่าผมเล่นได้เหรอ (หัวเราะ) เขาก็บอกได้สิ ขนาดของลุง 4 ตัว ยังไม่ได้เลยสักฮา เอ็งคนเดียวฮาตรึมตลอดได้เลย เล่นได้เลย
“เขาก็ถามเราว่าไอ้หนูทำอะไร มีวันหยุดบ้างไหม คือเขาไม่อยากให้เสียงานหลัก เราก็บอกว่าเป็นช่างสีครับ หยุดทุกวันอาทิตย์ เพราะเวลาเล่นดนตรีจะเริ่มประมาณ 1 ทุ่ม หลังจากนั้นจะปล่อยเพลงไม่เกิน 10 เพลง แล้วก็เป็นตลก แต่ไม่ได้มีทุกวัน ค่าตัววันละ 100 บาท โอ้โห่ (ลากเสียง) เดือนละ 3 พันบาท ถ้ามีงานทุกวัน เกิดเลยกู เงิน 100 สมัยนั้นมีค่ามาก หางเครื่องร้องเพลงด้วยเต้นด้วยได้ 20 บาท มือเพอร์คัสชั่นได้ 70 บาท เป่าทรัมเป็ตได้ 40-50 แต่เราได้ตั้ง 100 บาท ตอนที่ทำโป๊วสีได้วันละ 25 บาท ตกเดือนละ 750 บาท แต่ถ้าทำโอก็พันกว่าบาท
“แต่นี่มันมหาศาลมาก สมัยก่อน น้ำมันเบนซิลลิตรละ 6 สลึง หรือไม่ก็หนึ่งบาท ซูเปอร์ 2 บาท ค่ารถเมล์ สองแถว 50 สตางค์ตลอด ก๋วยเตี๋ยวชามละ 1 บาท เอาเลย ตัดสินใจเล่น พอเล่นปุ๊บ เขาก็หาคู่ให้เรา เป็นตลกในโรงงาน เขาคัดเลยไอ้ตัวนี้แสบมาก ให้มาเจอกับเรา มาเล่นรับมุกกัน ก็เป็นมุกกังฟู เพราะเราชอบดูหนังจีน สามารถให้มันคาบบุหรี่แล้วก็เตะบุหรี่หลุดจากปาก ไฟนี่กระจายเลย ก็แกล้งหักบุหรี่ให้มันสั้นๆ ขึ้น เตะไปเรื่อยๆ แล้วไม่ใช่ว่าเอาตีนปาดอย่างเดียว มีไอ้เข้ฟาดหางด้วย หมุนตัวเตะแต่ก่อนทำได้ เตะกระจายคนตบมือเฮๆ แล้วก็ควงกระบองซินตึ๊งสองท่อน เป็นการต่อสู้ระหว่างจีนกับเขมร แล้วก็ลุ้นกัน รวมแล้วก็ไม่ได้เล่นอะไรมาก หน้าเวทีก็ไม่เกิน 20 นาที”
เก็บเกี่ยวงานมาเรื่อยๆ จนตอนหลังมาร่วมตัวกันเล่นห้องอาหาร และจากคณะซัมเหมาก็กลายเป็นคณะ 3 พันตึง
“เทพเทียนชัย (อดีตตลกชื่อดังหลังรุ่นล้อต๊อก) เขาบอกชื่อมึงไม่เป็นมงคล ฟังแล้วไม่ใช่ ก็เปลี่ยน ก็มีโอกาสได้ไปเล่นที่ห้องอาหาร เพื่อนอีกคนชวนกันไป ไอ้คนนี้มันมีประสบการณ์ มันเคยเล่นออกวิทยุ สมัยนั้นมันมีไม่กี่คลื่น มันเล่นแล้วมันเก๋า ก็เห็นว่าเรามีแวว ก็ชวนไปอยู่ เราก็อยากจะหาประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย เล่นห้องอาหารคืนละ 2-3 ที่ ที่ละ 300-400 บาท สูงสุดที่เคยได้แบ่งกันต่อคืนคือ 500 บาท
“สมาชิก 3-4 คนก็นั่งรถเมล์กันไปเล่น ตั้งแต่ปากน้ำถึงพระโขนง หิ้วอุปกรณ์ไปกันเอง เพราะแต่ก่อนไม่มีแบคอัพ เสียงบนเวทีใช้ปากทำเอา ไปตัวเปล่า ถ้าเล่นชุดอะไร ก็หิ้วชุดนั้นไปเลย ไปถึงก็แต่งตัว บางทีก็แต่งบนรถเมล์ พวกก็มองกัน (หัวเราะ) หลังๆ พอมีตังค์หน่อย ก็ถอยมอเตอร์ไซค์ 2 คัน 4 คนซ้อนกันไป เล่นห้องอาหารมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าวงการได้ประมาณ 2 ปี ก็ได้มาอยู่วงศรีไพรลูกราชบุรี วงศิษย์ครูสุรพล สมบัติเจริญ คือตอนนั้น กิ๊บ โคกคูน เจ๊อยากตาย อยู่วงศรีไพรมาก่อน เขาก็เห็นเรามีแวว ก็ชวนไปอยู่ ไปอยู่ก็ไป ได้วันละ 50 บาทบ้าง 100 บ้าง ต่ำสุดก็ 50 วันไหนคนดูเยอะๆ ก็ 100 ก็ โอเค ก็อยู่ได้
“ช่วงนั้นไปอยู่ปัตตานีนี่อยู่เกือบครึ่งเดือน เดินสายไปเรื่อยๆ ในสายใต้ ชุมพรหลังสวน ปัตตานี ยะลา เดินสายไปเรื่อยๆ สายใต้ ไปทีเป็นเดือนๆ สองเดือนเราก็กลับมาที บางทีมีสร้อยหนัง 3-5 บาท กลับมาเหลือ 1 -2 บาทบ้าง เพราะด้วยความที่เป็นวงมาตรฐาน คือการรับงานจะคนละแบบ อันนี้จะเป็นงานเสี่ยง ไม่ใช่งานหาเหมือนตอนแรกที่วงดนตรีในจังหวัด เวลามีงานคือเขาจ้างเหมา คิดราคารวบยอดเลย คือได้แน่ๆ สมมุติจัดงานทีหนึ่ง เขาขายกี่หมื่นล่ะ เราสามารถได้แน่ๆ 100 แต่วงมาตรฐานเราออกแสดง ปิดวิกวันไหน ถ้าแฟนเพลงเยอะ ก็เก็บได้เยอะ แต่ถ้าได้น้อยคือให้กินก่อน 50 บาท มันแตกต่างกันตรงนี้ เราก็อยากไปวงบ้าง ไปหาประสบการณ์ เพราะถ้าเล่นอยู่ที่คาเฟ่ ก็ได้เล่นแค่ในกรุงเทพ แถวปากน้ำ พระโขนง แล้วเดินสายก็ได้เที่ยวได้อะไร ก็สนุกไปช่วงชีวิตวัยรุ่น”
กำเนิด “จำปีสีเดียว”
เมื่อพี่ปี้ ตีคู่สู้พี่เป้า-สายัณห์ สัญญา
ดาวตลกหัวเราะร่าให้กับเส้นทางที่ผ่าน และด้วยใจรัก เมื่อมีโอกาสได้ลองทำ แม้ตัวเงินจะมีมูลค่าไม่แน่นอนก็ไม่เป็นไร จนได้แจ้งเกิดสมใจกับวงดนตรีชื่อดังแห่งยุคคณะสายัณห์ สัญญา
"ชีวิตก็ผกผันไปเรื่อยๆ ได้เล่นร่วมกับศิลปินดังๆ เยอะเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนวงลูกทุ่งที่ดังๆ แล้วเขายุบวง อย่างประกายเพชร สรหงษ์ มนต์รัก ขวัญโพธิ์ไทย สดใส รุ่งโพธิ์ทอง คัมภีร์ แสงทอง บรรจบ เจริญพร เวลาเขาจ้าง เขาก็จะเอาแต่ตัวหัวหน้ามา อย่างเล่นงานวัด 7 วัน ตลกดนตรีหางเครื่องชุดเดิมหมด เปลี่ยนแต่หัวหน้า เอากระดาษเขียนไว้ว่าวันนี้คณะสดใส รุ่งโพธิ์ทอง เอามาแปะ วันแรกเราเล่นสดใส เราก็นอนวัด ถึงเวลาก็ไปกินข้าว แม่ครัวก็วิพากษ์วิจารณ์ เมื่อคืนตลกคณะสดใสเล่นฮามาก ชอบดู ป้าขำน้ำหูน้ำตาไหล หน้าคล้ายๆ เราเลย อะไรอย่างนี้ เราก็ยิ้มในใจ เขาชอบ พอวันที่ 2 ประกายเพชร สรหงษ์ ก็เป็นคนเล่นตลกอีก ทำอย่างนี้ เจ้าภาพเขาจะหามาแบบนี้ มันจะถูก ก็จะมีสเต็ปอยู่ ผมทำตรงนั้นแบบนั้นจนรู้จักคนลูกทุ่งเยอะไปเลย
“หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับ สุริยา ชินพันธุ์ แต่ตอนที่เขาดังๆ รุ่งๆ เรายังไม่ได้ไปอยู่นะ (ยิ้ม) แต่พอเขาแผ่ว เราถึงได้ไปอยู่ ค่าตัวก็ไม่เกิน 400 บาท ได้ 300 -200-100 บาท ก็เป็นงานปิดวิกเหมือนกัน เช่าโรงหนังเล่น คนดูเยอะ ก็ได้เยอะ น้อยก็ได้น้อย จนเขาแผ่วมาก เล่นไม่คุ้ม ไม่พอจ่ายค่าตัวลูกน้อง ก็ติดค่าตัวเราหลายบาทเหมือนกัน แต่เราบอกว่าไม่เป็นไรหัวหน้า ผมยกให้ ผมไม่เอา ถ้าผมปากเดียวท้องเดียว ผมอยู่กับหัวหน้าได้ แต่ยังมีคนทางบ้าน พ่อแม่ พี่น้อง ที่ผมต้องรับผิดชอบ ที่ต้องส่งเสีย ทางบ้านต้องกินต้องใช้ ผมก็เลยออก
“แล้วก็ได้มาอยู่วงสายัณห์ สัญญา คือตลกเขาขาดมาหลายเดือนแล้ว เพราะเขาไล่คณะเก่าออก เพราะคณะเก่าเล่นไม่ตลก ไม่เข้าตา พอไม่มีตลก เขาก็เล่นกับ 7 พลังหนุ่ม บังเอิญเพื่อนในคณะที่ออกมาด้วย มันก็ไปสมัครเอาไว้ก่อนแล้ว แล้วสายัณห์เขาเรียกบอกว่ามาลองดู เราก็ไปเลย จำได้ว่าวันแรกที่ไปเล่น เป็นคืนก่อนวันลอยกระทงที่ศาลากลาง จังหวัดชลบุรี เขาก็บอกว่ายังไม่เอานะ ให้มาลองดูก่อน เราก็เสี่ยง เพราะวงใหญ่ ใครก็อยากอยู่ (หัวเราะ) ด้วยความที่สายัณห์เป็นวงดนตรีมาตรฐาน ได้แน่ๆ วันละ 400-500 บาท
“สมัยนั้นตลกจะนิยมดัดผมฟูๆ คือใครเห็นก็ตลก แต่เราไม่ฟู ผมไว้ฮิปปี้ยาวๆ แล้วผมไม่ได้อยู่ในสายตาสายัณห์ นอกนั้นมันดัดผมฟูกันหมดเลย 2-3 คน มีเราคนเดียวไม่เหมือนเพื่อน สายัณห์ก็ดูว่าไอ้ผมฟูตลก แล้วสายัณห์ก็ถามว่าไอ้ผมยาวมันเป็นใคร คือเขานึกว่าเราเป็นคนเขียนป้าย แต่วันนั้นพอออกไปเล่นปุ๊บ นันทิดา แก้วบัวสาย รับเชิญ เราอำนันทิดา อำสายัณห์เลย
“ระวังนะ รับเชิญบ่อยๆ เดี๋ยวจะเป็นข่าวนะ
ถ้าเป็นข่าวนะ อย่าลืม ถ้ายังไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าว พร้อมที่จะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้”
“เราอำไม่น่าเกลียด อำน่ารักๆ สายัณห์เขาก็ขำๆ คนก็เฮ้... เพราะตอนนั้นเขากำลังเป็นประเด็นกัน ถ้าเขี่ยขึ้นมาก็ได้ฮาตลอด เสร็จแล้วสายัณห์บอกว่าเรื่องแต่งงานหรือเรื่องรักกัน อย่ามาถามผมเลย ไปถามฝ่ายผู้หญิง ผมยังไงก็ได้ คนก็ยิ่งชอบ ทางฝ่ายนันทิดาเขาก็รับมุก ก็ฮาไป
“ก็อำโน่นอำนี่ อำแล้วฮา ผู้จัดการสายัณห์เขาก็บอกว่าไอ้ตัวนี้มันกล้าเล่น มันกล้ากัดคนดัง พอเล่นที่ชลบุรีเสร็จ เขาก็บอกว่าจะไปเดินสายอีสาน 10 วัน แล้วกลับมา แต่เขายังไม่ได้รับนะ ให้ลองดูสายอีสาน ถ้าเล่นดี เขาถึงจะรับ เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าเรามีกี่มุก อาจจะมีมุกเดียวก็ได้ เล่นๆ ไป หมด ไม่มีอะไร จะมาทำเสียชื่อวง ก็ไปเดินสายอีสานเสร็จ ก็ยังไม่บอกว่ารับเราสักที กลับมาไปใต้อีกเดือนหนึ่ง ไปเหนืออีกเดือน จนเราสงสัยว่าพี่เขารับผมยังครับ (หัวเราะ) ไอ้บ้า มาซะขนาดนี้ เขาไม่รับได้อย่างไรล่ะ เราก็สบายใจ เลยสั่งให้ไปตัดชุดทีมที่วงเวียนใหญ่ แล้วก็ตั้งชื่อทีมว่า “แจ็กพอต”
ซึ่งก็แจ็กพอตสมชื่อ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 6-7 ปีหลังจากนั้น ชื่อเสียงของ “เอนก อินทะจันทร์” ก็กลายเป็นที่รู้จักในนาม “จำปีสีเดียว” หรือ “ปี้” ที่กล้ายกเปรียบนาม “เป้า” สายัณห์ สัญญา เกิดจากการก็อบปี้อักษร ป.เพราะอยากดังบ้าง
“ผมอยู่กับสายัณห์ ผมได้ฉายาตลกคู่ขวัญสายัณห์ สวมบทบาทโดยจำปีสีเดียว เขาจะพูดอย่างนี้ตลอด แล้วผมจะเล่นเข้ากับสายัณห์มาก ช่วงที่เล่นเป็นทีม จะไม่มีสายัณห์ออก ก็ฮาๆ แบบได้เป็นขวัญใจแฟนคลับแฟนเพลง แต่ช่วงที่สายัณห์ออก จะมีผมคนเดียวที่กล้าเล่นกับสายัณห์ นอกนั้นไม่มีใครกล้า แล้วผมอำสายัณห์เมื่อไหร่ ก็ฮากระจาย
“มีอยู่วันหนึ่งเล่นที่โรงหนังบางกอก ตรงมะกะสัน โรงหนังบางกอกรอบค่ำ คนนี่ล้นขนาดต้องเปิดประตูด้านข้าง เพราะในโรงไม่พอใส่ จังหวะวันนั้น สายัณห์ไม่ใส่ถุงเท้า คิดขึ้นมาแว้บเดียว มีอะไรอำสายัณห์ได้บ้าง เราก็ทำเป็นคุยกับตลกด้วยกัน 4 คนว่ารู้จักสายัณห์แค่ไหน เราเนี่ยสนิทกับสายัณห์มาตั้งแต่เด็กๆ บางคนเห็นไว้หนวดตรงนี้หน่อย เขาก็เรียกสายัณห์แล้ว แต่สายัณห์ตัวจริงๆ เขาไม่ชอบใส่ถุงเท้า สายัณห์เขาฟังอยู่หลังเวที ก็...เอาแล้วไอ้ปี้ คือเขารู้แล้วว่าเรามีอะไรมาอำ เขาก็เตรียมตัวมาจากข้างใน
“เราก็ต่อเลย กูสนิท แต่ก่อนนะ ชื่อเล่นสายัณห์ไม่ได้ชื่อไอ้เป้าหรอก ชื่อไอ้หมง เห็นกูอยู่กรุงเทพฯ ชื่อ ปี้ๆ อักษร ป.ดีนี่หว่า เลยเปลี่ยนมาเป็นเป้า ตอนเด็กๆ ยังไม่มีชื่อเสียง ไปขโมยข้าวเย็นบ้านญาติกินจนถูกเตะตกบ้าน เราก็เอาเรื่องจริงที่เขาเล่าให้ฟังมาอำเพิ่ม เราก็เริ่มเข้ามุกต่อ แต่ตัวจริง สายัณห์ไม่ใส่ถุงเท้า มึงเชื่อกู
“แล้วสายัณห์ก็มาสะกิดเรา เราก็ เฮ้ยยย!! ผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่ จำปีๆ อะไรใครวะเนี่ย เออ ไอ้หมอนี่หน้าตาเหมือนสายัณห์ เหมือนไอ้เป้ามากเลย มึงเป็นใคร สายัณห์ก็บอกว่าเขาคือสายัณห์ เราก็ต่อเลย อย่ามาอำ สายัณห์ตัวจริงเขาต้องไม่ใส่ถุงเท้า (ยิ้ม) สายัณห์สมัยก่อน กูใช้ให้ไปซื้อโอเลี้ยง วิ่งงกๆ ไปซื้อให้ไป 10 บาท โอเลี้ยงถุงละ 3 บาท เหลือ 7 บาทอม ไม่ทอนจะตบซะ งั้นถ้ามึงเป็นสายัณห์จริง ลากเก้าอี้มาเลย ยกขามา สายัณห์ยกมาปุ๊บ ผมก็ถกขากางเกง ไม่ใส่ถุงเท้า ทีนี้ก็ทำลูกเขินเลย หันไปเล่นกับคนดู แล้วก็พูดว่า กูมีแววตกงานแล้วจริงๆ สายัณห์ก็เล่นต่อ กินโอเลี้ยงไหมครับ เดี๋ยวผมวิ่งไปซื้อให้ งกๆ วันนี้ผมไม่อมแล้วครับ ก็เอาคำพูดเรามาอำบ้าง ก็เล่นด้วยกันอย่างนี้ประจำ
“นั่นคือสไตล์ตอนนั้น อำเป็นหลัก เรากล้าเล่น แล้วสายัณห์เขาเคยฝังใจกับตลกรุ่นครูบาร์อาจารย์ เป็นอาจารย์ของจุ๋มจิ๋ม เจริญชัย สุขวรรณะ เขาจะเล่นมุกอีโรย แต่งตัวทุเรศๆ ทาปาก ทาอะไรให้มันน่าเกลียดน่ากลัว อุ้มท้องแล้วก็เดินผ่านมาจากประตูขึ้นมาบนเวทีเพื่อมาอำสายัณห์ว่าเป็นผัว ทำเขาท้องแล้วทิ้ง สายัณห์ก็บอกเขาไม่เคยมีเมีย ให้ตลกมาเคลียร์ ไล่ออกไป พวก 18 มกกุฎ เขาฝังใจกับเจริญชัยมากมุกนี้ แล้วอยากให้เราเล่นอย่างนั้น เราก็รับปาก คิดว่าไม่ยาก ก็เอามาเล่น วันนั้นเล่นรอบค่ำ ที่โรงหนังสุริยา แถววงเวียนใหญ่ รอบค่ำ สายัณห์กำลังร้องเพลง พอใกล้จะจบ เราก็กรีดร้องมาเลย สายัณห์ พี่เป้า โรยมาแล้ว จำเมียได้ไหม แต่ผมเพิ่มมุกคือแอบเอาดาบซามูไรซ่อนไว้หน้าเวทีก่อน สายัณห์ถามว่าใคร ให้ตลกมาเคลียร์ พร้อมปฏิเสธว่าไม่เคยมีเมีย ก็เล่นโต้ตอบกัน ไอ้พวกนั้นชาวคณะก็ไล่ๆๆ แล้วก็กระโดดเตะ 2 ที เรากระเด็นไป 3 ที
“เสร็จแล้ว พอสายัณห์ไม่ยอมรับว่าเป็นเมีย ก็รุมกระทืบ สายัณห์ก็มารุมด้วยแล้วสักพัก พอคนอื่นเขาวิ่งหนีกันหมดแล้ว สายัณห์ยังกระทืบซ้ำอยู่นั้นแหละ แล้วผมก็คลานๆ ไปที่กอง ชักซามูไรมาแล้วตะโกน อย่าอยู่เลยไอ้สาดดด... ชูขึ้นมาวิ่งไล่ ทุกคนก็ทำทีหนีกระเจิงไปหลังเวทีกันหมดเลย ผมก็บอกว่า กูให้เล่นมุกนี้แล้วฮากูคนเดียว เสร็จแล้วก็กระทืบกู กระทืบไม่ว่า ไอ้เป้าเตะเข้าท้องท้องช้อนเข้าไข่ จุกอย่างเหี้ย ก็ฮาๆ กัน สายัณห์ก็ต่อมุกมา “จ๊ะเอ๊ะ ปี้ๆ เป้าไม่เกี่ยวนะ” เราก็สวนต่อรับเลย มึงตัวดีเลยไอ้เหี้ย โอ้โห....คนตลก เพราะทุกยุคทุกสมัย ไม่มีใครกล้าด่าสายัณห์ หัวเราะกันหลังกระแทกเบาะที่นั่ง ดังสนั่นหวั่นไหว หัวเราะเกือบ 2 นาที 3 นาที ติดต่อกันเลย มึงตัวดีนะ ตัวแรกที่กระทืบกู”
ทำท่าว่าจะเวิร์ก...
แต่กระนั้น เนื่องด้วยศิลปินดังรุ่นใหญ่เป็นที่รักชอบพอของมิตรรักแฟนเพลงทั่วประเทศ จึงทำให้มีบางคนไม่พอใจ
“คือหลังจากนั้น มีจดหมายสนเท่ห์เขียนมาที่สำนักงานว่าจำปีสีเดียวก้าวร้าวไม่น่าด่าสายัณห์หยาบคายอย่างนั้นอย่างนี้ คนไทยเขารักสายัณห์ ผู้จัดการเขาก็เอามาให้เราอ่าน เสร็จแล้ววันนั้นต้องไปเล่นงานต่อ ซึ่งปกติ สายัณห์เขาจะนั่งรถส่วนตัว แต่วันนั้นเขานั่งรถคณะ เอาแล้วไง ตอนนั้นนึกในใจ กูตกงานแน่ ไม่น่าไปด่าเลย ไม่น่าไปเล่นเลย แต่กลายเป็นว่าพอสายัณห์อ่านจดหมายนั้นแล้วไม่พูดอะไร อ่านเสร็จแล้วโยนทิ้ง ไม่สนใจ บอกอย่าไปสนใจ มีฉบับสองฉบับ
“แล้วก็คุยกับเราว่าต้องเล่นแบบนี้ ฮาขี้แตกเลย เราก็อ้าว สายัณห์ไม่ว่าอะไร ทีแรกนึกว่าจะตกงาน ใจชื้นเลย กลายเป็นดีไป จากนั้นก็ขำมั่งไม่ขำมั่ง คละเคล้ากันไป มีแซวบ้าง ไม่มีแซวบ้าง คนชอบบ้าง เกลียดบ้าง ก็ไปยาวเลย คราวนี้เป็นตลกอาชีพไปแล้ว ไม่กลัวใครทั้งสิ้น ใครขึ้นมา เราวัดได้หมด ตลกรับเชิญใหญ่เล็ก เรากล้าเล่นกับเขาหมด อย่างวงซูเปอร์ดอน มีเด๋อ ดู๋ ดี๋ ก็เคยเล่นกับเขา คือเทศกาลสำคัญ ลอยกระทง ปีใหม่ บางทีมีตลกรับเชิญไป มาเล่นปิดวิก เราก็ไปแจม เล่นได้บ้างไม่ได้บ้าง”
ดาวตลกชื่อดังกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะนอกจากเป็นความทรงจำอันสวยงาม ยังเป็นความทรงจำที่แม้ต่อให้ห่างร้างมานานนับสิบกว่าปี ก็ยังเป็นคืนวันที่จดจำได้อย่างไม่รู้ลืมถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางตลก ก่อนที่จะมาเป็นชื่อฉายานามที่ใครต่อใครรู้จักกันในนาม “แอนนา”
______________________________________
*** เรื่องราวของแอนนา ชวนชื่น ยังไม่จบเพียงเท่านี้
โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 24 ธ.ค.2558 ***
สวดยอดเลยลวกเพี่ยยย...ชีวิตตลกที่น่ายกย่อง “แอนนา ชวนชื่น” ชวนขำ-ชวนขื่น-ชื่นใจ ให้พลัง!! (ตอนที่ 2)
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี