กรรมการ ป.ป.ช.แถลงปิดคดีถอดถอน “ยิ่งลักษณ์” ละเลยจำนำข้าว ย้ำจากนโยบายประชานิยมหาเสียงกลายเป็นทุจริตเชิงนโยบายชัดเจนที่สุด ชาติขาดทุน 5 แสนล้าน เป็นหนี้อีก 30 ปี ซัดพยายามไขว้เขวโต้กลับไม่น่าเชื่อถือ ชาวนารอไม่ได้ฆ่าตัวตายเป็นแถว ถึงยุค คสช.ยังทุกข์ไม่จบ ตอก “รัฐจำนำข้าว ชาวนาจำนำชีวิต ประเทศจำนำหนี้” ย้ำพระบรมราโชวาท “ส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง-ไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ” ปลุกจิตสำนึก สนช. สร้างประวัติศาสตร์
วันนี้ (22 ม.ค.) การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาดำเนินกระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 เพื่อรับฟังคำแถลงการณ์ปิดสำนวนด้วยวาจาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา นำโดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหา โดยนายวิชา แถลงปิดสำนวน โดยขอยืนยันว่า สนช. มีอำนาจถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และยืนยันว่า ป.ป.ช.ให้ความเป็นธรรมในการต่อสู้คดีแก่ผู้ถูกร้องอย่างเต็มที่เป็นไปตามหลักนิติธรรมโดยชอบ ด้วยกฎหมายทุกประการ
สำหรับโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เลือกดำเนินการโดยกำหนดราคาข้าวสูงกว่าตลาดและรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ทั้งที่ ป.ป.ช.เสนอให้ประกันราคาเพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก แต่ผู้ถูกร้องก็ใช้เป็นโครงการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในรูปแบบประชานิยมจนได้เป็นรัฐบาล โดยใช้กลซื้อใจชาวนา และดำเนินโครงการเรื่อยมา โดยให้ราคาข้าวสูงกว่าท้องตลาดกว่าเท่าตัว จนมีข้าว 10 ล้านตัน อยู่ในโกดังรัฐบาลและโรงสีที่เช่า และทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบและพบว่ามีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เล่นแร่แปรธาตุ ทำกันเป็นกระบวนการ เพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ตัวเองและพวกพ้อง เรียกได้ว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย คือการขายให้พวกพ้องในราคาถูก และนำไปขายในราคาแพงมหาศาล โดยอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริง จนกระทั่งมีการชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา
นายวิชากล่าวว่า ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าเป็นโครงการที่ดีและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งที่ ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไป 2 ครั้ง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือเตือนไป 4 ครั้งเพราะเป็นห่วงงบประมาณที่เสียหายอย่างไม่ที่สิ้นสุด พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ยังได้พบความผิดปกติ ก็ให้ข้อเสนอแนะเพราะมีความเสี่ยงมากมาย แต่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้เกี่ยวข้อง ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าจะต้องทำต่อไป เหมือนกับการท่องบทจนขึ้นใจ และตอบเหมือนกันหมดว่า เป็นนโยบายของรัฐบาล เป็นสัญญาประชาคมเลิกไม่ได้ จนหลังการตรวจสอบจึงพบว่า เป็นโครงการที่สามารถตีแผ่และจับทุจริตเชิงนโยบาย ที่กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องทุจริตเชิงนโยบายที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่ประเทศนี้ได้เคยจับทุจริตมา มีการกล่าวอ้างว่าชาวนาจะได้ลืมตาอ้าปาก และอ้างว่าได้ดำเนินการป้องกันเรื่องทุจริต ด้วยการแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาหลายชุด แต่กระบวนการตรวจสอบเหล่านั้น เป็นเพียงเครื่องบังหน้า และแสดงว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่รู้ ไม่ทราบเพราะได้สั่งการไปแล้ว และตรวจสอบแล้ว จะได้ดำเนินโครงการต่อไปและเป็นการกล่าวอ้างให้พ้นความรับผิด
“เวลา ป.ป.ช.จะกล่าวหาใครต้องมีข้อมูลหลักฐานชัดเจน เพราะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในประเทศเราเขาจะอ้างว่ามีใบเสร็จหรือไม่ ยืนยันว่าขณะนี้ ป.ป.ช. มาพร้อมใบเสร็จเรียบร้อย อันดับแรกคือรายงานการปิดบัญชีของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี เมื่อเดือน ต.ค. 54 ถึง 22 พ.ค. 57 รวมระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน ปรากฎว่ามีผลขาดทุนสะสมจากการระบายข้าว 5.18 แสนล้านบาท คิดเป็นผลขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท หรือเดือน 1.7 หมื่นล้านบาท อยากถามว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะคณะอนุกรรมการชุดนี้ ประกอบไปด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและแต่งตั้งโดย ครม.และนายกฯ และรายงานให้นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติทราบยังมีความเสียหายในการจัดเก็บข้าว โดยเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 58 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก็แจ้งความดำเนินคดีต่อกองปราบปราม แก่คู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าว ในฐานความผิดลักทรัพย์ ยักยอก และฉ้อโกง สร้างความเสียหาย 6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมความเสียหายจากการระบายข้าวและจัดเก็บข้าว ส่งผลให้เกิดความเสียหายและภาระการใช้หนี้ในโครงการรัฐบาลที่ผ่านมา คาดว่าจะขาดทุน 7 แสนล้านบาท และตกเป็นเงินภาษีของประชาชนซึ่งมีทางแก้ทางเดียวคือใช้หนี้เป็นเวลา 30 ปี หรือใช้หนี้กันถึงรุ่นหลาน ซึ่งกระทรวงการคลังต้องบริหารหนี้ ด้วยการกู้ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้ไปพร้อมๆ กันและรัฐบาลปัจจุบันจะต้องออกพันธบัตรหาเงินมาใช้หลายแสนล้านบาท ดังนั้นต้องคิดให้จงหนักว่ารัฐบาลที่แล้วได้ทิ้งอะไรไว้ในกลับลูกหลานของเราบ้าง” นายวิชากล่าว
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหา อ้างว่าข้อมูลการปิดบัญชีของอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ไม่น่าเชื่อถือ ขอชี้แจงว่าคนที่ทำหน้าที่ เป็นผู้คุณวุฒิทั้งสิ้น และไม่ได้มีส่วนได้เสียและผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการแต่อย่างใด หากอนุกรรมการชุดนี้ มีเจตนาปิดบัญชีไม่ถูกต้อง ผู้ถูกกล่าวหาต้องดำเนินการทางวินัยและอาญากับพวกเขา แต่ไม่เคยทำเพราะตระหนักรู้ว่า คณะอนุกรรมการชุดนี้ทำโดยถูกต้อง สุจริต ตามอำนาจ และการปิดบัญชีครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยคัดค้าน แต่เมื่อแถลงปิดบัญชีครั้งที่สอง พบว่าขาดทุน 2.2 แสนล้านบาท ผู้ถูกกล่าวหาพยายามโต้แย้งให้เกิดความสับสน ไขว้เขวว่า การปิดบัญชีดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่ และทำไม่ถูกต้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของผู้กล่าวหาไม่ได้ทำให้ขาดทุน ชาวนาได้รวมกลุ่มกันภายใต้ชื่อเครือข่ายชาวนาไทย เพื่อเรียกร้องค่าจำนำข้าว ภายหลังรัฐบาลที่แล้วให้ไม่ครบถึง 1 ล้านครอบครัวหรือเป็นเงินประมาณ 1.1 แสนล้านบาท และทำให้พวกเขาไปกู้เงินเพื่อดำเนินชีวิตเพราะไม่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าว
“นี่คือความเศร้าสลดใจของชาวนาไทย มีหลายรายไม่อาจทนรอเงินจากรัฐบาล จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อลาโลกนี้ไป ถือเป็นความเศร้าสลดใจอันสุดแสนทนทานได้ของพี่น้องร่วมชาติ แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจและจ่ายเงินให้ชาวนาแล้ว แต่ความทุกข์ของพวกเขาก็ยังไม่จบ ผลของโครงการรับจำนำข้าว ยังติดตามเหมือนภาพมายาหลอกหลอนชาวนาต่อไป เพราะข้าวที่รับจำนำ ยังอยู่ในโกดัง 17 ล้านตัน จึงเป็นภาระของรัฐบาลปัจจุบัน ที่ต้องกระเสือกกระสนระบายข้าวทั้งหมดนำมาใช้ภาระขาดทุน ที่ต้องใช้เวลาหลายปี และส่งผลกระทบกดดันราคาข้าวในฤดูกาลผลิตต่อไป และทำให้ราคาข้าวต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความทุกข์ยากของชาวนาแสนสาหัสขนาดนี้ ยังไม่มีผู้ใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ รวมทั้งผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ขออภัยชาวนาแต่อย่างใด คงกล่าวแต่เพียงว่าโครงการนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวนา กระผมจึงอาจกล่าวได้ว่า โครงการรับจำนำข้าว สรุปเป็นคำสั้นๆ ว่า รัฐบาลผู้ถูกกล่าวหาจำนำข้าว ชาวนาจำนำชีวิต และประเทศจำนำหนี้” นายวิชากล่าว
นายวิชากล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบตลอดมาว่า โครงการทุกขั้นตอนได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมาย จนกระทบต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศ และชีวิตของชาวนาอย่างกว้างขวาง แสดงให้เห็นว่าหากดำเนินโครงการต่อไปจะส่งผลร้ายยิ่งขึ้นกับประเทศ ตาม พ.ร.บ. บริหารราชการแผ่นดิน ปี 2534 มาตรา 11 ที่ต้องให้บริหารเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและบ้านเมือง ตนขอถามทุกท่านโดยเฉพาะ สนช. ว่าโครงการนี้คุ้มค่าและมีประสิทธิ์ภาพตรงไหน หลังมีการแจ้งเตือนในหลายโอกาสดังที่กล่าวมา แต่ท่านเป็นนายกฯ ที่ต้องยับยั้งความเสียหายได้ แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยืนยันดำเนินโครงการต่อไป จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอย่างใหญ่หลวงเพิ่มขึ้นๆ ทุกขณะ ป.ป.ช. จึงเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีมูลความผิด ฐานจงใจละเว้นไม่ใช้อำนาจหน้าที่ ในฐานะนายกฯ ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
“เมื่อความปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดทั้งต่อตำแหน่งหน้าที่ ต่อการเงินการคลังของประเทศ และชีวิตชาวนาที่ต้องตายไป ซึ่งเป็นหลักการที่เราต้องดำเนินจารึกไว้ในแผ่นดินนี้ เรื่องของคุณธรรม จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดิน มีคำกล่าวว่า “บุคคลที่ขาดสติปัญญาหรือไม่มีสติปัญญา แต่หากเขามีคุณธรรมและจริยธรรมที่พอจะชดเชยและเยียวยา ทำให้เห็นว่าเป็นคนดี พอที่จะอยู่และทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินนี้ได้ แต่สำหรับบุคคลที่มีสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ แต่ขาดคุณธรรม จริยธรรม นั้นก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดความเสื่อมทรามในการปกครองบ้านเมือง อย่างไม่อาจเห็นได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า จึงไม่อาจปล่อยไว้ได้” นายวิชากล่าว
นายวิชากล่าวปิดท้ายว่า กระบวนการถอดถอนเป็นจุดเริ่มต้นที่ปักธงให้เห็นว่าผู้ใดก็ตามที่จะมารับผิดชอบ ในฐานะผู้นำสูงสุดของแผ่นดิน โดยเฉพาะตำแหน่งนายกฯ ที่จะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมสูงสุดยิ่งกว่าบุคคลอื่นทั้งหมด เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติตาม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานของเราเพื่อให้ดำรงตนอยู่ในจริยธรรมและคุณธรรมต่อไป แต่อย่างไรก็ดี การจะให้ใครเป็นคนดีได้นั้น เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเราไม่อาจให้ทุกคนเป็นคนดีได้
“ดังที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ให้พระบรมราโชวาทตรัสว่า ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ กระผมขอคารวะทุกท่านที่อยู่เบื้องหน้าของกระผมว่าจะร่วมกันทำประวัติศาสตร์ในการถอดถอนครั้งนี้ให้ปรากฏผลเป็นจริง”